สินค้า simulator

กิจกรรม

การแข่งขัน

แนะนำอุปกรณ์

ทดลองอุปกรณ์

Categories
บทความทั่วไป

แนะนำการเช็ก ระบบเบรครถยนต์ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

ระบบเบรครถยนต์

ระบบเบรครถยนต์ นับว่าเป็นอีกระบบหนึ่งของรถยนต์ที่มีความสำคัญมาก ๆ เพราะระบบเบรคเป็นตัวช่วยยับยั้งไม่ให้รถเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นการหมั่นตรวจเช็คระบบเบรครถยนต์อยู่เสมอก็นับว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนใช้รถต้องทำ โดยเฉพาะคนใช้รถมือใหม่ที่อาจจะไม่รู้ว่าต้องตรวจเช็กจุดไหนบ้าง ดังนั้นวันนี้เราจึงได้รวบรวมวิธีเช็กระบบเบรครถยนต์มาให้ทุกคนแล้ว

ระบบเบรครถยนต์ มีอะไรบ้าง แต่ละส่วนตรวจเช็คยังไง

สำหรับ ระบบเบรครถยนต์ จะประกอบด้วย 6 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ หม้อลมเบรค, แม่ปั๊มเบรค, สายเบรค, ปั๊มเบรค, จานเบรค, ผ้าเบรค และ น้ำมันเบรครถยนต์ ซึ่งแต่ละจุดก็จะมี การดูแลรักษา และวิธีเช็คที่แตกต่างกันออกไป โดย ระบบเบรค บางจุดเราก็สามารถเช็คเองได้ บางจุดก็ต้องอาศัยช่างที่มีประสบการณ์

ระบบเบรครถยนต์

ระบบเบรกที่เราสามารถเช็กได้ด้วยตัวเอง

ระบบเบรค หลายจุดเราสามารถเช็กความผิดปกติเบื้องต้นก่อนได้หลายจุดด้วยกัน โดยระบบเบรกที่เราสามารถเช็กด้วยตัวเองมีดังนี้

  • หม้อลมเบรค ให้คุณดับเครื่องยนต์จากนั้นปล่อยไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วเหยียบเบรคให้สุดแล้วปล่อยประมาณ 5 ครั้ง จนเบรคมีความแข็งจนเหยียบไม่ลงแปลว่า หม้อลมเบรค ยังทำงานได้ดีอยู่ 
  • แม่ปั๊มเบรค ถ้าซีนแม่ปั๊มเบรครั่ว ก็จะมีน้ำมันซึมออกมาอย่างเป็นได้ชัด ซึ่งตะส่งผลเสียต่อระบบเบรกทั้งระบบ
  • สายเบรก สายเบรกเป็นชิ้นส่วนที่มีความทนทานมาก ๆ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการแตก หรือขาด ดังนั้นการเช็กคือเรามุดเข้าไปดูใต้ท้องรถว่าสายเบรกยังอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน
  • จานเบรค/ผ้าเบรค ถ้าคนเหยียบ เบรค แล้วพบว่า รถเริ่มมีอาการเบรกไม่อยู่อาจมีความเป็นไปได้ว่าจานเบรค และผ้าเบรกมีปัญหา ซึ่งควรเรียบนำรถเข้าศูนย์ทันที
  • น้ำมันเบรกรถยนต์ ระบบน้ำมัน ของรถโดยเฉพาะน้ำมันเบรคมีความสำคัญมาก ๆ โดยคุณจะต้องตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอว่า น้ำมันเบรคอยู่ในระดับมาตรฐาน หรือไม่มีการรั่วซึมของน้ำมัน

ชนิดของเบรครถยนต์ที่ใช้กันในปัจจุบัน

ก่อนที่เราจะไปดูว่า ระบบเบรครถยนต์ มีอะไรบ้างนั้น เราอยากพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับชนิดของ เบรครถยนต์ กันก่อน โดยเบรกรถยนต์จะมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ ดรัมเบรค และ ดิสก์เบรค ซึ่งดรัมเบรกมักจะใช้ในรถบรรทุกมากกว่า แต่ในรถส่วนบุคคลบางรุ่นก็ใช้เช่นกัน ส่วนดิสก์เบรก เราเชื่อว่าหลายคนต้องคุ้นหูอย่างแน่นอน เพราะส่วนใหญ่จะใช้กับรถส่วนบุคคล ไปจนถึงรถแข่งในสนามเลยทีเดียว

จุดเด่น และจุดด้อยของดรัมเบรค

อย่างที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่า เบรครถยนต์ มี 2 ประเภท โดยดรัมเบรคจะมีข้อดีหรือจุดเด่นในเรื่องของการหยุดรถที่จะหยุดได้เร็ว เพราะส่วนใหญ่ใช้กับรถบรรทุกซึ่งจะมีน้ำหนักมาก แต่ในขณะเดียวกัน เบรค แบบนี้ก็มีข้อเสียเหมือนกันเพราะ เบรค ประเภทนี้จะระบายความร้อนและรีดน้ำออกจากระบบได้ไม่ดีเท่าที่ควร อีกทั้งประสิทธิภาพของเบรคยังลดลงเมื่ออยู่บนทางลาดชัน

จุดเด่น และจุดด้อยขอดิสก์เบรค

สำหรับดิสก์เบรคเป็นชนิดของ เบรครถยนต์ ที่นิยมใช้ในรถยนต์ทั่วไป ไปจนถึงรถแข่ง ซึ่งจุดเด่นของเบรกชนิดนี้ การระบายความร้อย และการรีดน้ำออกจาก ระบบเบรค ได้ดี ง่ายทั้งในการดูแล และการรักษาความสะอาด และมีความแม่นยำในการเบรค แต่สำหรับข้อเสียคือในส่วนของเรื่องราคาที่อาจจะสูง ปัจจุบันในท้องตลาดก็มีทางเลือกอยู่มากมายเช่นกัน

ความสำคัญในการดูแลรักษาระบบเบรค

อย่างที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าระบบเบรครถยนต์ เป็นระบบที่ช่วยป้องกันให้อุบัติเหตุไม่เกิดขึ้นได้ ซึ่ง ระบบเบรค แต่ละจุดก็จะมีวิธีในการดูแลที่แตกต่างกันออกไป และแน่นอนว่าผู้ใช้งานอย่างเราจะสามารถดูแล บำรุงรักษา และตรวจเช็ค เบรครถยนต์ ทั้งระบบนั้นได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้นเอง ดังนั้นการนำรถเข้าไปเช็ค เบรค หรือเช็ครถตามระยะที่กำหนดโดยละเอียดอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นแล้วมีความสำคัญมาก ๆ ในขณะเดียวกันคือ เราก็ต้องดูแลระบบเบรคในส่วนที่เราทำได้ไม่ว่าจะเป็นการล้างรถ หรือการเช็คน้ำมันเบรคเป็นประจำก็จะช่วยยืดอายุชองระบบเบรคออกไปให้นานขึ้นได้ด้วย

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

Categories
บทความทั่วไป

อยากซื้อ รถมือสอง เลือกยังไงดี

รถมือสอง

รถมือสอง นับว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกดี ๆ สำหรับคนที่อยากได้รถไว้ใช้งาน แต่อยากประหยัดงบมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญการซื้อรถมือสองคุณยังสามารถทำการผ่อนกับไฟแนนซ์ได้ด้วย ดังนั้นนอกจากเราจะได้รถยนต์คันที่ถูกใจมาใช้งานแล้ว เรายังจ่ายในงบที่ย่อมเยาอีกด้วย แต่การเลือกซื้อรถมือสองก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ดังนั้นใครที่ยังไม่รู้ว่าควรเลือกยังไงดี วันนี้เรามีคำแนะนำมาให้เพื่อน ๆ แล้ว

วิธีการเลือกและทดสอบขับขี่รถมือสองสภาพดี

สำหรับคนที่ซื้อ รถมือสอง แน่นอนว่าเราก็อยากได้ รถมือสองสภาพดี มาไว้ใช้งานอย่างแน่นอน ซึ่งวิธีการเลือกรถมือสองในเบื้องต้นที่เราสามารถทำได้ง่าย ๆ คือ การทดสอบขับขี่เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าระหว่างการใช้งานรถคันนั้นมีปัญหา หรือมีความผิดปกติตรงไหนหรือไม่ แต่สำหรับใครที่จะซื้อเป็นรถคันแรก ควรจะมีคนที่รู้เรื่องรถไปดูด้วยเพื่อให้ได้ รถมือสองสภาพดี ตรงใจเรา

การตรวจสอบประวัติการใช้งานของรถมือสอง

ตรวจสอบประวัติรถจากเล่มทะเบียนจริง เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับการซื้อ รถมือสอง เพราะเล่มทะเบียนรถจะระบุข้อมูลสำคัญทุกอย่างโดยเฉพาะประวัติการเปลี่ยนสี, การซ่อมบำรุง, การดัดแปลง รวมไปถึง รายชื่อผู้ถือครองรถ และลำดับการเปลี่ยนมือ ซึ่งสำคัญมาก ๆ เพราะในรถบางคันอาจจะมีการสวมทะเบียนหรือการซ่อมใหญ่มาก็เป็นได้

เช็คราคารถมือสอง เปรียบเทียบราคา

อีกหนึ่งวิธีในการเลือกซื้อรถมือสอง คือการ เช็คราคารถมือสอง แล้วนำมาเปรียบเทียบกับราคาของรถมือหนึ่งในรุ่นเดียวกับที่เราต้องการนั้นจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้คุณจ่ายเงินซื้อรถมือสองในราคาที่คุ้มค่า และไม่ถูกอัพราคาสูงเกินความเป็นจริงนั่นเอง

การเลือกประกันและบริการหลังการขายรถมือสอง

นอกจากการเลือกซื้อรถเราควรจะเลือกซื้อ รถมือสองสภาพดี จากเต็นท์รถที่มีความน่าเชื่อถือแล้ว เราควรดูว่าทางเต็นท์ให้การประกันหรือบริการหลังการขายอะไรกับเราบ้าง เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่า หากรถมีปัญหาหลังจากซื้อขาย ทางเต็นท์จะเข้ามารับผิดชอบหรือเข้ามาดูแล อีกทั้งยังทำให้เราอุ่นใจมากขึ้นอีกด้วย

รถมือสองสภาพดีที่คนนิยมซื้อมากที่สุด

สำหรับปี 2023 นี้ รถมือสอง รุ่นยอดนิยมนั้นมือหลายรุ่นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Mazda 2, Honda Jazz, Toyota Yaris และ Suzuki swift โดยรถรุ่นต่าง ๆ เหล่านี้ต่างเป็นตัวชูโรงของแบรนด์เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะ  Suzuki swift ที่กาลเวลาฆ่าไม่ตาย และที่สำคัญราคามือสองก็จัดอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่แรงเกิดไป อีกทั้งยังมาพร้อมสมรรถนะที่ดี ดีไซน์สวย และเทคโนโลยีที่ใช้ก็เป็นเทคโนโลยีที่ไม่เก่าจนเกินไปด้วย ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้รถเหล่านี้เป็นมือสองที่เนื้อหอมที่สุด

การเปรียบเทียบราคา ทำความเข้าใจรถ Suzuki Swift มือสอง

สำหรับ Suzuki swift มือสองรุ่นที่น่าสนใจที่สุดจะเป็นรุ่นปี 2018 ซึ่งเป็นรถที่มีอายุเพียง 5 ปีแต่ราคามือสองถูกลงกว่าครึ่ง โดยรถตัวท้อปมีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 629,000 บาท และปัจจุบันราคามือสองอยู่ที่ประมาณ 3 แสนกว่าบาท อีกทั้งในส่วนของดีไซน์ก็ดูทันสมัย เป็นรถ ECO Car ที่ช่วยในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน แถมยังรองรับ Apple CarPlay อีกด้วย นอกจากนี้ใน Suzuki swift ยังเป็นรถที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ซึ่งนับว่าเป็นจุดเด่นเลยก็ว่าได้

การเลือก Mazda 2 มือสองสภาพดี วิธีเช็คภายนอกและภายในของรถ

Mazda 2 เป็นอีกหนึ่ง City Car ที่น่าสนใจมาก ๆ โดยวิธีเช็คภายนอกและภายในของ Mazda 2 มือสอง ก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากการเลือกซื้อรถมือสองรุ่นอื่น ๆ เท่าไหร่นัก ซึ่งนอกจากจะต้อง เช็คราคารถมือสอง และหาข้อมูลเฉพาะของรถปีนั้น ๆ ว่า Mazda 2 รุ่นปีที่เราอยากได้นั่นมีออปชั่น หรือมีอะไรพิเศษเพิ่มมาบ้าง เช่นการเช็คระบบไฟฟ้าของคนว่ายังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะในรุ่นใหม่ ๆ ที่จะมาพร้อมเบรกมือไฟฟ้า เป็นต้น

รถมือสอง

ซื้อรถมือสองแบบรถบ้าน หรือรถเต็นท์ดีกว่ากัน

สำหรับการซื้อ รถมือสอง จะมีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ ด้วยกันคือการซื้อรถบ้าน และรถเต็นท์ ซึ่งทั้ง 2 แบบก็จะมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน เช่นหากซื้อรถบ้านต่อจากคนที่เรารู้จักอยู่แล้ว แหละเห็นการดูแลรถ หรือการใช้รถของคนนั้นมาตลอด ก็จะทำให้เรามั่นใจในคุณภาพของรถ แต่ถ้าเป็นรถจากเต็นท์ข้อดีคือสะดวก และมีรถให้เลือกมากกว่า และที่สำคัญเรายังสามารถ เช็คราคารถมือสอง ผ่านเว็บไซต์ของผู้จำหน่ายรถมือสองได้ด้วย รวมไปถึงการรับประกัน และบริการหลังการขาย ดังนั้นใครที่รู้สึกว่าอันไหนตอบโจทย์กว่าก็สามารถเลือกได้เลย

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

Categories
บทความทั่วไป

รถไฮบริด สุดยอดเทรนด์ในการใช้พลังงาน

รถไฮบริด

รถไฮบริด นับว่าเป็นนับนวัตกรรมที่สร้างความฮือฮา และความตื่นเต้นให้กับเราเป็นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงนั้นนวัตกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ใหม่มาก ๆ ในยุคนั้น และในปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์หลาย ๆ ค่ายก็ได้มีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้บริโภคอย่างเรามีตัวเลือกมากขึ้น บวกกับยังเป็นเทรนด์การใช้พลังงานที่ได้ปัจจุบันเป็นที่นิยมเป็นอย่างยิ่ง

เทรนด์การเปลี่ยนสู่รถ hybrid ทำไมมันกำลังได้รับความนิยม?

รถไฮบริด ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2540 โดย Toyota และเปิดตัวรถรุ่นดังกล่าวด้วยชื่อ Prius และถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ความนิยมของ รถ hybrid ก็ยังไม่ลดลงไป เพราะจุดเด่นคือ เป็นรถที่มีแหล่งพลังงาน 2 แหล่งคือ น้ำมันและไฟฟ้า แต่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องชาร์จ เพราะในระบบจะมีการชาร์จตัวเอง ช่วยให้ประหยัดมากขึ้น แถมยังไม่ต้องกังวลเรื่องของสถานีชาร์จเมื่อต้องเดินทางไกล ๆ ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนไทยได้เป็นอย่างดี

การออกแบบภายนอกของรถไฮบริด สไตล์ที่น่าตื่นเต้นและนวัตกรรมทันสมัย

สำหรับใครที่ชื่นชอบน้ำมันแต่อยากประหยัดมากขึ้น รถไฮบริด ก็อาจจะเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณก็ได้ เพราะในส่วนของดีไซน์ภายนอกของ รถ hybrid ต้องบอกเลยว่ามี DNA ที่ใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปมาก ๆ และที่สำคัญรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ ๆ ยังออกแบบให้มาพร้อมโหมดในการขับขี่ที่มัน และสนุกยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเมื่อต้องการความประหยัด หรือขับสบาย ๆ ก็เปลี่ยนไปใช้โหมด ECO เมื่อทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ทำงานร่วมกันรถของคุณก็จะแรงขึ้นอีกด้วย

ความแตกต่างระหว่างรถไฮบริดและรถยนต์ทั่วไป

ถึงแม้ว่า รถ hybrid และรถยนต์ทั้งไปจะมี DNA ที่ใกล้กัน แต่รถทั้ง 2 ประเภทนี้ก็มีความแตกต่างกันอยู่มาก โดยหลัง ๆ เลยจะเป็นในส่วนของเรื่องสมรรถนะที่เหนือกว่าเมื่อเปรียบเทียบในรุ่นเดียวกัน อีกทั้งรถยนต์ไฮบริดจะสามารถเลือกใช้พลังงานได้ 3 แบบ คือ เครื่องยนต์, ไฟฟ้า และไฮบริด ซึ่งแหล่งพลังงานทั้ง 2 ทำงานรวมกันก็จะทำให้รถมีกำลังที่สูงขึ้น ต่างจากรถยนต์ทั่วไปที่จะมีกำลังจากแหล่งเดียวคือเครื่องยนต์

การใช้งานระบบนำทาง GPS ในรถไฮบริด

สำหรับระบบนำทาง หรือ GPS ของ รถ hybrid ก็จะมีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ ด้วยกันคือ แบบที่เป็นออปชั่นมากับตัวรถ และแบบที่ใช้แอปอื่น ๆ เข้ามาช่วย เช่น Google Map ซึ่งไม่เพียงแค่ในรถไฮบริดเท่านั้นเพราะในรถยนต์รุ่นอื่น ๆ ก็ใช้ระบบนี้เช่นกัน แต่สำหรับรถรุ่นใหม่ ๆ หรือใน รถยนต์ ไฮบริด 2023 จะสามารถเลือกใช้ GPS ได้ทั้ง 2 แบบในรถคันเดียวเนื่องจากรถหลาย ๆ รุ่นในปัจจุบันสามารถเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติงานของสมาร์ทโฟนได้

รถไฮบริด

Plug-in Hybrid เทคโนโลยีที่นำเสนอโอกาสใหม่ในการขับขี่

หลังจากที่เราทำความรู้จัก รถไฮบริด ไปแล้ว ต่อมาเราอยากพาทุกคนมารู้จักกับ Plug-in Hybrid กันบ้าง โดย Plug-in Hybrid เป็นระบบรถยนต์ใหม่ที่มีความคล้ายคลึงกับรถยนต์ไฮบริด แต่รถยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดจะแตกต่างตรงที่คุณสามารถชาร์จแบตเตอรี่เข้าไปได้ด้วย ดังนั้นคุณจะเลือกใช้ระบบใด ระบบหนึ่งแบบถาวรได้เลย ซึ่งตอบโจทย์กับคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ ใช้รถทั้งเดินทางต่างจังหวัดและในเมืองเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีในรถยนต์ ไฮบริด 2023

  • แบตเตอรี่ของ รถยนต์ ไฮบริด 2023 รวมไปถึงรถยนต์ไฮบริดรุ่นเก่า ๆ จะมีราคาที่สูงมาก ๆ ดังนั้นการดูแลรักษาแบตเตอรี่จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ 
  • รถยนต์ไฮบริดจะไม่ตอบโจทย์คนที่ขับรถออกต่างจังหวัดบ่อย ๆ เนื่องจากอัตราความประหยัดจะมีน้อยกว่าการขับในเมือง เนื่องจากรถจะดึงพลังงานไฟฟ้ามาช่วยเมื่อรถมีรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำ
  • ความเร็วจะถูกจำกัดเพื่อให้รถประหยัดพลังงานมากขึ้น ดังนั้นใครที่ชอบขับรถแรง ๆ อาจจะไม่เหมาะเท่าไร
  • การซ่อมบำรุงรถมีความจำเป็นจะต้องใช้ช่างที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ดังนั้นก็อาจจะจะจำเป็นต้องใช้บริการศูนย์เท่านั้น
  • ค่าซ่อมและค่าบำรุงรักษาของรถยนต์ไฮบริดจะสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อคุณควรคำนึงในจุดนี้ในดีเสียก่อน

การบำรุงรักษาระบบรถไฮบริดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 

สำหรับการบำรุงรักษาระบบของรถไฮบริด หรือ รถยนต์ ไฮบริด 2023 จะต้องดูแลทั้งระบบของเครื่องยนต์ และระบบของไฟฟ้า โดยมี 5 จุดหลัก ๆ ที่จะต้องดูและเป็นพิเศษดังนี้

  • แบตเตอรี่ นับว่าเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของรถไฮบริด ดังนั้นเราจึงควรดูแลเป็นพิเศษ โดยหลัก ๆ คือไม่ควรจอดรถตากแดดบ่อย ๆ เพราะจะทำให้แบตเสื่อมได้ง่ายขึ้น
  • การดับเครื่องยนต์ เมื่อขับรถถึงที่หมายไม่ควรดับเครื่องทันทีเพราะแบตกำลังชาร์จไฟอยู่ ดังนั้นจึงควรดูก่อนว่าแบตไม่ได้ถูกชาร์จอยู่เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับแบตเตอรี่
  • การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง รถยนต์ไฮบริดยังต้องดูแลระบบต่าง ๆ เหมือนรถยนต์สันดาป โดยเฉพาะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่ควรต้องเปลี่ยนตามระยะที่กำหนด
  • ระบบเบรก เช่นเดียวกับน้ำมันเครื่อง โดยระบบเบรกของรถยนต์ไฮบริดควรดูแลตามที่คู่มีกำหนด เพราะการละเลยอาจทำให้เกิดอันตรายตามาได้
  • นำรถเข้าศูนย์เช็กระยะ ไม่ว่าจะรถยนต์รุ่นไหน ๆ การนำรถเข้าศูนย์เช็กระยะตามที่คู่มือกำหนดนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ และทุกคนควรปฏิบัติตาม
รถไฮบริด

สรุปรถยนต์ไฮบริด Vs. Plug-in Hybrid เทคโนโลยีไหนดีกว่ากัน

สำหรับ Plug-in Hybrid จริง ๆ แล้วก็เป็นหนึ่งในรถที่จัดอยู่ในกลุ่มของรถยนต์ไฮบริด เนื่องจาก รถไฮบริด แต่ก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันในเรื่องของการชาร์จแบตเตอรี่ และต้องบอกว่า Plug-in Hybrid หลาย ๆ รุ่นมีราคาที่สูงกว่า รถยนต์ ไฮบริด 2023 อีกทั้งความตอบโจทย์ในรูปแบบการใช้งานก็ค่อนข้างที่จะแตกต่างกันอีกด้วย แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ Plug-in Hybrid ก็อาจจะตอบโจทย์มากกว่านั่นเอง

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

Categories
บทความทั่วไป

Alphard นวัตกรรมทันสมัย อนาคตการขับขี่

Alphard

หากกล่าวถึงรถยนต์ Alphard จาก Toyota เราเชื่อว่าปัจจุบันแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในไทยรถยนต์รุ่นนี้ได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้ทางผู้ผลิตได้มีการเปิดตัว รถยนต์ Alphard รุ่นใหม่ ๆ ถูกเปิดตัวออกมาเรื่อย ๆ ทำให้เราได้สัมผัสรถยนต์ Alphard ที่มาพร้อมเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ ล่าสุดทางผู้พัฒนายังได้เปิดตัว Vellfire โฉมใหม่ที่มีความ Luxury ที่เปิดตัวมาเพื่อตอกย้ำความนิยมอย่างแท้จริง

ความหรูหราที่ทรงพลังของ Alphard 2023

Alphard นับว่าเป็นรถยนต์ MPV รุ่นฮิตของ Toyota ที่ครั้งนี้เดินทางมาถึง Alphard 2023 ที่ครั้งนี้ทางผู้ผลิตได้มีการปรับโฉมให้มีความ Luxury หรูหรา มากยิ่งขึ้น โดยเบาะทั้งหมดหุ้มด้วยหนัง Nappa แท้เกรดพรีเมี่ยม ตกแต่งด้วยหนังเทียม เปิดตัวมาพร้อม 2 รุ่นย่อยคือ 2.5 HEV และ 2.5 HEV Luxury ซึ่งทั้ง 2 เป็นระบบไฮบริดที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 134 kW. ทำให้รถรุ่นนี้แรงสุดถึง 250 แรงม้าเลยทีเดียว

Alphard

นวัตกรรมและเทคโนโลยี Alphard Hybrid

Alphard รุ่นใหม่นี้มาพร้อม เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมากมาย โดยบน Toyota Alphard 2023 จะมาพร้อมกระจกไฟฟ้าที่มาพร้อมระบบป้องกันการหนีบ, เซ็นเซอร์ช่วยจอดด้านหน้าและด้านหลัง 8 ตัว, ระบบควบคุมการทรงตัวของรถ, ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน, ระบบควบคุมการออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชันลดความเร็วขณะเข้าโค้ง และพิเศษสุด ๆ ด้วยกล้องมองรอบคันแบบพาโนรามา เป็นต้น

การรักษาดูแลและบำรุงรักษารถ Alphard 

Alphard Hybrid เป็นรถยนต์ที่มี 2 ขุมพลังคือเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า ดังนั้นการดูแล และการบำรุงรักษาจึงจะมีขั้นตอนหรือรายละเอียดต่าง ๆ มากกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไปอย่างแน่นอน ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวม 5 วิธีในการดูแล Alphard 2023 เบื้องต้นมาแนะนำทุกคนแล้ว โดยเฉพาะสาว ๆ ที่อาจจะไม่เก่งเรื่องการดูแลรถก็สามารถทำตามได้ง่าย ๆ

  • Toyota Alphard 2023 เป็นรถยนต์ไฮบริด การจอดรถตากแดดเป็นประจำนั้นจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น 
  • ควรนำรถไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด เพราะจะเป็นการบำรุงรักษาระบบเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด
  • สำหรับ Alphard Hybrid การใช้น้ำยาล้างกระจกควรเจือจางเฉพาะน้ำสะอาดเท่านั้น และไม่ควรใช้น้ำยาอื่น ๆ ผสม
  • ควรเปลี่ยนเมื่อรถมีกลิ่นอับหรือตามระยะที่กำหนด ซึ่งหากต้องเปลี่ยนเราแนะนำให้ดับเครื่องยนต์เสียก่อน
  • หากต้องเปลี่ยนฟิวส์แนะนำให้นำไปเปลี่ยนที่ศูนย์จะดีที่สุด

แนะนำระบบความปลอดภัย Alphard 

สำหรับ Alphard 2023 มาพร้อมระบบความปลอดภับ หรือ Safety ที่น่าสนใจหลายอย่างมาก ๆ แต่เราของยกตัวอย่างระบบความปลอดภัย 5 ระบบมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก โดยแต่ละระบบมีดังนี้

  • ระบบความปลอดภัยก่อนชน PCS 
  • ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะ
  • ระบบเสริมความปลอดภัย SRS คู่หน้า/ด้านข้าง/ม่านด้านข้าง
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC

Alphard Hybrid ประหยัดพลังงานและสภาพแวดล้อม

Alphard 2023 มาพร้อมโหมดในการขับขี่ทั้งหมด 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่ EV Mode, Normal Mode และ ECO Mode โดย การใช้งาน ในโหมด ECO Mode จะช่วยให้ Toyota Alphard 2023 ประหยัดพลังงานมากขึ้น เนื่องจาก ECO Mode จะเป็นโหมดที่เหมาะกับการขับขี่ในเมืองเป็นอย่างมาก เพราะการขับขี่ในเมืองจะไม่ต้องการการขับเร็ว ๆ ดังนั้นเมื่อเราเปิดโหมดนี้การตอบสนองของคันเร่งก็จะช้า และแอร์ในรถจะเบาลง จึงทำให้ประหยัดพลังงานของรถตามไปด้วยนั่นเอง

สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนซื้อ Toyota Alphard 2023

สำหรับใครที่กำลังจะตัดสินใจว่าซื้อ Toyota Alphard 2023 ดีไหม เราอยากแนะนำ หรืออยากให้พิจารณาให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ โดย Alphard จะมาพร้อมที่นั่ง 7 ที่นั่ง รองรับการติดตั้ง Car Seat (ISOFIX) 2 ตำแหน่งที่เบาะนั่งแถวกลาง ดังนั้นรถยนต์รุ่นนี้จึงจะเหมาะกับครอบครัวที่มีสมาชิกตั้งแต่ 4 – 7 คน ซึ่งเรารู้สึกว่า Alphard Hybrid ยังอาจจะไม่เหมาะกับการเป็นรถคันแรก หรือหากใครที่ไม่ได้เดินทางกับครอบครัวเป็นประจำ Alphard อาจจะยังไม่ใช่คำตอบ

Alphard Premium vs. Standard ความแตกต่างที่ชัดเจน 

อย่างที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่า Alphard Hybrid รุ่นปี 2023 นั่นเปิดตัวมาพร้อม 2 รุ่นย่อย คือ Alphard 2.5 HEV (Standard) และ Alphard 2.5 HEV Luxury (Premium) โดยมีราคาต่างกันอยู่ที่ 370,000 บาท และความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นมีดังนี้

  • กระจกเงา รุ่น Premium มีโต๊ะพับลายไม้ Uzuramoku สำหรับผู้โดยสารแถวกลาง พร้อมกระจกเงา / รุ่น Standard ไม่มี
  • ที่นั่งแถวกลาง รุ่น Premium มาพร้อมที่นั่งผู้โดยสารแถวกลางแบบ Executive Lounge captain seats / รุ่น Standard เป็นที่นักแบบ captain seats 
  • ระบบฟอกอากาศในห้องโดยสาร รุ่น Premium nanoe X สำหรับห้องโดยสารตอนหน้าและหลัง / รุ่น Standard nanoe X สำหรับห้องโดยสารตอนหน้า
  • ขนาดตัวรถ รุ่น Premium 5,010 x 1,850 x 1,950 มม. / รุ่น Standard 5,010 x 1,850 x 1,945 มม. (ยาว x กว้าง x สูง (มม.))
  • ขนาดล้อ รุ่น Premium แม็ก 19 นิ้ว / รุ่น Standard แม็ก 17 นิ้ว

Alphard vs. Vellfire ต่างกันอย่างไร? 

สำหรับช่วงส่งท้ายปีแบบนี้นอกจากทาง Toyota จะเปิดตัว Alphard Hybrid รุ่นใหม่แล้ว ยังได้เปิดตัว Vellfire โฉมใหม่ที่มีความหรูหรามากยิ่งขึ้น อีกทั้งทั้ง Alphard และ Vellfire รุ่นใหม่ทั้ง 2 ยังได้มีการเปลี่ยนโลโก้มาใช้โลโก้ของ Toyota เหมือนกันทั้ง 2 รุ่นเลย แต่หากนำ Alphard รุ่นเริ่มต้นและ Vellfire มาเปรียบเทียบกัน ก็จะเห็นถึง ความแตกต่าง และความเป็นเอกลักษณ์ของทั้ง 2 รุ่นอย่างชัดเจน

  • ขนาดตัวรถ Alphard 2.5 HEV 5,010 x 1,850 x 1,945 มม. / Vellfire 5,005 x 1,850 x 1,950 มม. (ยาว x กว้าง x สูง (มม.))
  • การตกแต่งภายนอก Alphard 2.5 HEV จะมีดีไซน์ที่หรู พรีเมี่ยม ไฟตัดหมอกเป็นสี Glossy Black / Vellfire จะมีความเท่ และดุดันมากกว่า ไฟตัดหมอกเป็นสีโครเมียม
  • สีภายใน Alphard 2.5 HEV มีให้เลือก 2 สี คือ Black และ Sunset Brown / Vellfire มีให้เลือก 1 สี คือ Black
  • ขนาดล้อ Alphard 2.5 HEV แม็ก 17 นิ้ว / Vellfire แม็ก 19 นิ้ว
  • ขนาดยาง และยางอะไหล่ Alphard 2.5 HEV 225/65 R17 : T165/80 D17 / Vellfire 225/55 R19 : T165/80 D17

สรุป NEW Toyota Alphard / Vellfire ซื้อรุ่นไหนน่าซื้อกว่า?

หลังจากที่ได้ดูข้อมูลต่าง ๆ ของ Alphard และ Vellfire รุ่นปี 2023 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่า นอกจากการตกแต่งและออปชั่นที่จะมีบางอย่างที่แตกต่างกัน เรื่องของเครื่องยนต์ มอเตอร์หรือพละกำลังต่าง ๆ ของรถทั้ง 3 รุ่นคือ Alphard 2.5 HEV Luxury ราคา 4,499,000 บาท, Alphard 2.5 HEV ราคา 4,129,000 บาท และ Vellfire 2.5 HEV ราคา 4,279,000 บาท มีสเปคเดียวกันทั้งหมด ดังนั้นการจะตัดสินใจว่าระหว่าง Alphard และ Vellfire ควรเลือกรุ่นไหนดี อาจจะต้องเอาไลฟ์สไตล์ของคุณมาช่วยในการตัดสินใจ 

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
บทความทั่วไป

Tesla Model 3 รถไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมมากในหลายประเทศ

Tesla Model 3 นับว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเริ่มต้นของ Tesla แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา ที่มาแรงตั้งแต่เปิดตัว เพราะทั้งเทคโนโลยี สมรรถนะ รวมไปถึงราคาในไทยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน จนทำให้รถรุ่นนี้กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะเข้ามามีบทบาทแทนรถยนต์สันดาป ซึ่งสเปคของเขาจะน่าสนใจขนาดไหน วันนี้เรารวบรวมข้อมูลมาให้แล้ว

ประสิทธิภาพและระยะทางการขับขี่ของ Tesla Model 3

สำหรับ Tesla Model 3 รุ่นจำหน่ายในไทยจะมี 2 รุ่นย่อยด้วยกันคือ Tesla Model 3 และ Tesla Model 3 Long Range โดย Model 3 เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ระยะทางในการขับขี่วิ่งได้ไกล 513 กม. (มาตรฐาน WLTP) การเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ใน 6.1 วินาที และสำหรับ รุ่น Long Range เป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ มอเตอร์คู่ ระยะทางในการวิ่ง 629 กม. (มาตรฐาน WLTP) การเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ใน 4.4 วินาที ทั้ง 2 รุ่นใช้เวลาชาร์จ 15 นาที เพิ่มระยะทางวิ่งได้สูงสุด 282 กม. เช่นเดียวกัน

Tesla Model 3 ราคาที่คุ้มค่าและคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม

ในชั่วโมงนี้ต้องบอกว่า Tesla Model 3 คือหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าที่คุ้มราคาที่สุด เนื่องจาก Tesla Model 3 ราคา เริ่มต้นที่ 1,599,000 บาท และ 1,899,000 บาทสำหรับรุ่น Long Range ซึ่งในราคาที่ไม่ถึง 2 ล้านแต่รถรุ่นนี้มาพร้อมเทคโนโลยใหม่ ๆ เพียบ ทั้งการปรับอุณหภูมิห้องโดยสารล่วงหน้า, วางแผนการใช้พลังงานก่อนการเดินทาง, โหมดสุนัข สัตว์เลี้ยง, โหมดเซ็นทรี่, โหมดแคมป์พักแรม, ระบบจอดอัตโนมัติ รวมไปถึงระบบการนำทางเมื่อใช้ Autopilot เป็นต้น

สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับระบบ Autopilot 

ระบบ Autopilot ของ Tesla คือระบบช่วย การขับขี่ แต่ก็มีหลายครั้งที่เราจะเห็นข่าวด้านลบเกี่ยวกับระบบ Autopilot ของ Tesla ดังเราจึงควรทำความรู้จักกับระบบนี้ให้มากขึ้น โดย ระบบ Autopilot จะมี 2 แบบ คือ

  • Autopilot แบบพื้นฐาน ระบบจะช่วยในเรื่องการควบคุมความเร็ว การรักษาระยะห่างของรถคันหน้า และควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเท่านั้น
  • Autopilot แบบยกระดับ EAP (จ่ายเพิ่ม) ฟีเจอร์นี้จะเพิ่มการนำทางเมื่อใช้ Autopilot, ระบบจอดรถอัตโนมัติ, ระบบจอดแบบไร้คนขับ, ระบบควบคุมไฟจราจรและป้ายหยุด และระบบเรียกรถอัจฉริยะแบบไร้คนขับเข้ามา 

แต่เพื่อเป็น การป้องกันอุบัติเหตุ ระบบ Autopilot ทั้ง 2 แบบ คนขับจะต้องใช้มือควบคุมพวงมาลัยตลอดเวลา และจะต้องระวังทั้งสภาพถนน คนเดินถนน หรือคนปั่นจักรยานด้วยตัวเอง เพราะหากไม่ปฏิบัติตามอาจจะให้เกิดอุบัติเหตุได้

การดูแลและบำรุงรักษารถไฟฟ้า Tesla Model 3 

การดูแลรถยนต์ไฟฟ้ามี 4 จุดหลัก ๆ ที่คุณจะต้องดูแลเป็นพิเศษ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ เพราะถ้าปล่อยให้พังจนถึงขั้นต้องซ่อม Tesla Model 3 ราคา ค่าซ่อมต้องแพงหูฉี่อย่างแน่นอน ดังนั้นเราจึงรวมมาข้อมูลมาไว้ให้เพื่อน ๆ แล้ว 

  • มอเตอร์ไฟฟ้า มอเตอร์เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถของคุณ ดังนั้นจึงไม่ควรละเลยการตรวจเช็คระยะ เพื่อให้เรามั่นใจว่ามอเตอร์ยังทำงานได้ดี
  • ระบบเบรก เบรกของรถยนต์ไฟฟ้าจะต่างจากรถยนต์ทั่วไป เนื่องจากจะมีเรื่องของระบบชาร์จไฟของรถเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจึงควรหมั่นสังเกตและตรวจเช็คเบรกเป็นประจำ
  • เช็คของเหลวต่าง ๆ ในระบบของรถยนต์ไฟฟ้ายังจำเป็นต้องเติมของเหลวบางอย่างเข้าในระบบรถเช่น น้ำหล่อเย็น, น้ำยาเช็ดกระจก และ น้ำมันเบรก ถ้าน้ำยาเหล่านี้ลดลงควรเติมทันที
  • ระบบชาร์จ ไม่ควรใช้สายชาร์จใดก็ตามที่ไม่ใช่สายชาร์จเดิมของรถ และควรเช็กว่าหัวชาร์จและสายชาร์จอยู่ในสถานะที่พร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดประกายไประหว่างใช้งาน

การประหยัดพลังงานด้วย Tesla Model 3 การใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมันเชื้อเพลิง

อย่างที่หลาย ๆ คนทราบกันดีว่า ปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้นี้รถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามามีบทบาทกับการใช้ชีวิตของเรามาก ๆ เนื่องจากไฟฟ้าเป็นพลังงานสะอาดที่ส่งผลเสียกับโลกของเราน้อยกว่าน้ำมัน ที่สำคัญรถยนต์ไฟฟ้ายังทำให้เราประหยัดเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นอีกด้วย และในไทย Tesla ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเพราะอย่างที่เพื่อน ๆ ได้เห็นว่า Tesla Model 3 ราคา เริ่มต้นไม่ถึง 2 ล้าน จึงนับว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

Tesla Model 3

ลักษณะภายนอกและข้อมูลจำเพาะของ Tesla Model 3

ในส่วนของ ดีไซน์ Tesla Model 3 ตัวรถจะมาพร้อมขนาด ความกว้าง 2,089 มม. ความสูง 1,441 มม. และ ความยาว 4,720 มม. ภาพลักษณ์ดูโฉบเฉี่ยว และสปอร์ตมากกว่า เมื่อเทียบกับ Tesla Model Y อีกทั้ง ใน Tesla Model 3 Refreshed รุ่นใหม่ล่าสุด (กำลังจะเข้าไทย) ยังได้มีการตัดเอา Ultrasonic sensor ออกไปทำให้รถมีความเรียบหรู และดูดียิ่งขึ้น อีกทั้งในรุ่นดังกล่าวคุณยังจะได้ใช้ซอฟต์แวร์ตัวใหม่ของเขาอีกด้วย และยังคงมีกล้อง Tesla vision ซึ่งจะติดตั้งด้านข้างซ้าย – ขวาเช่นเคย

ผลลัพธ์การทดสอบความปลอดภัยของ Tesla Model 3 ที่ยอดเยี่ยม

สำหรับ Tesla Model 3, Tesla Model Y รวมไปถึง Tesla รุ่นอื่น ๆ ทางแบรนด์ได้มีการทดลองและยืนยันว่า รถของเทสล่าถูกพัฒนามาให้เป็นรถยนต์ที่มีความปลอดภัยที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นรถที่มีโอกาสในการเกิดการบาดเจ็บโดยรวมต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับรถรุ่นอื่น ๆ ที่ได้เข้าร่วมการประเมินในโครงการที่สหรัฐอเมริกาเคยทดสอบ ที่สำคัญยังได้มีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ของรถให้มีความปลอดภัยและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Tesla Model 3 และ Tesla Model Y

เปรียบเทียบระหว่าง Tesla Model 3 และ Tesla Model Y หลัก ๆ เลยคือดีไซน์ของทั้ง 2 รุ่นแตกต่างกันอย่าเห็นได้ชัด โดย Model 3 จะมีดีไซน์ที่ดูสปอร์ตมากกว่า ส่วน Tesla Model Y จะมีหลังคาที่สูง และให้ความรู้สึกที่ปลอดโปร่งมากกว่า ส่วนราคา Tesla Model 3 ราคา เริ่มต้นที่ 1,599,000 บาท ส่วน Model Y จะมีราคาอยู่ที่ 1,699,000 บาท แต่ในขณะเดียว Model 3 จะสามารถวิ่งได้ไกลกว่าที่ 58 กม. เลยทีเดียว

สรุป Tesla Model 3 ยังน่าสนใจหรือไม่?

หลังจากที่ได้ดูข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับ Tesla Model 3 ไปแล้ว จะเห็นได้ว่าสเปคต่าง ๆ ของรถรุ่นนี้เมื่อเทียบกับราคาแล้ว เรารู้สึกว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างจะคุ้มค่าไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะใครที่ขับรถในเมืองเป็นประจำ ทั้ง Tesla Model 3 และ Tesla Model Y ก็ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะ Tesla Model 3 Refreshed ที่กำลังจะเข้าไทยในไม่ช้านี้นอกจากจะมีราคาเท่ารุ่นเดิมแล้ว ยังมาพร้อมการยกระดับด้วยการตกแต่งใหม่ รวมไปถึงซอฟต์แวร์ใหม่อีกด้วย

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
บทความทั่วไป

เทคโนโลยีล้ำหน้าในรถ BMW X5 นวัตกรรมที่ทำให้รถยนต์นี้โดดเด่น

เปิดตัวและวางจำหน่ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ BMW X5 หนึ่งในรถยนต์ Plug – In Hybrid จาก BMW ที่มาพร้อมนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่นอกจากจะประหยัดพลังงานแล้ว ยังมาพร้อมสุดยอดขุมพลัง และสำหรับ BMW X5 รุ่นปี 2023 เปิดตัวมาพร้อม 2 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่ X5 xDrive30d M Sport และ X5 xDrive50e M Sport ซึ่ง xDrive50e M Sport นับว่าเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อ xDrive45e M Sport ให้มีทั้งเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ใหม่ยิ่งขึ้น

BMW X5

ประวัติที่น่าสนใจกับการก้าวกระโดดของ BMW จากบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ถึงผู้นำด้านรถหรู

ก่อนที่เราจะไปพูดถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ บน BMW X5 เราอยากพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ ประวัติศาสตร์อันน่าทึ่งของแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ BMW ที่พัฒนาแบรนด์จนกลายมาเป็นหนึ่งในผู้นำด้านรถหรูจากเยอรมัน โดยวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1916 เป็นวันก่อตั้งบริษัท BMW อย่างเป็นทางการ โดยมีรากฐานมาจากคน 2 คนคือ Karl Rapp และ Gustav Otto โดยเริ่มจากการเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบิน ก่อนที่จะยุติไปหลังเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 บริษัทก็ได้ยุติการผลิตไป

BMW X ความหลากหลายและประสิทธิภาพในการขับขี่

สำหรับ BMW X เปิดตัวออกมาหลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งมีทั้งรถยนต์เครื่องยนต์เบนซิน, เครื่องยนต์ดีเซล, ปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า 100% ซึ่งแน่นอนว่า BMW X5 ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยรถยนต์ BMW ในกลุ่ม X Series นั้นจะเป็นรถกลุ่ม SUV 5 ที่นั่งที่มีขนาดใหญ่ ภายในกว้างขวาง และด้วยความที่รถยนต์ในซีรีส์นี้มีขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้รถยนต์เหล่านี้จะมาสุดยอดขุมพลัง เพื่อให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม

แนะนำเทคโนโลยีล้ำหน้าในรถ BMW X5 การนำเข้าความสมบูรณ์แบบ 

รถยนต์ BMW X5 รุ่นแรก ๆ จะเป็นรถยนต์ที่นำเข้าแบบทั้งคัน แต่สำหรับรุ่นปี 2020 เป็นต้นมา ทั้ง BMW X5, BMW X1 2023 ไปจนถึงรถยนต์ BMW รุ่นอื่น ๆ เริ่มจะมีการผลิต หรือประกอบในไทยมากขึ้นทำให้เราได้เป็นเจ้าของรถที่มาพร้อม เทคโนโลยี ที่ล้ำสมัยในราคาที่ประหยัดมากยิ่งขึ้น และสำหรับ BMW X5 ก็เป็นรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมาย เช่น

  • ระบบวิดีโอสตรีมมิ่งโดยตรงจากภายในรถ
  • BMW Live Cockpit Professional 
  • BMW Digital Key ให้คุณปลดล็อค – ล็อค และเริ่มการขับขี่โดยอัตโนมัติ
  • Parking Assistant

เคล็ดลับการดูแลรักษารถ BMW X5 

BMW X5

อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วว่า รถยนต์ BMW X5 รุ่นนี้เป็นรถยนต์แบบปลั๊คอินไฮบริด คือ รถยนต์ที่ใช้พลังงานในการขับเคลื่อน 2 แหล่งคือ เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า แต่รถแบบนี้จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วย ดังนั้นการดูแลรถจึงจะมีความซับซ้อนไปอีกแบบ โดย 5 เคล็ดลับการดูแลรักษารถง่าย ๆ ในเบื้องต้นมีดังนี้

  • เพื่อ ประสิทธิภาพ ในการใช้งานแบตควรเปลี่ยนแบตตามระยะที่กำหนด ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ
  • ไม่ควรซ่อมรถเอง เพราะอาจจะทำให้เกิดประกายไฟ และไฟไหม้ตามมาได้
  • การล้างรถเป็นประจำ อย่าให้เกิดสิ่งสกปรกสะสมเพราะจะทำให้ชิ้นส่วนของรถเกิดความเสียหายได้
  • การใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง อาจทำให้อุปกรณ์บางส่วนของรถเกิดความเสียหายได้ 
  • การทำความสะอาดทั้งการปัดฝุ่น ดูดฝุ่น และการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเครื่องหนัง ก็จะเป็นการยืดอายุของเบาะได้เป็นอย่างดี

BMW X5 LCI กับการปรับโฉมครั้งใหม่ ทันสมัย และเท่ขึ้น

ล่าสุด BMW ได้มีการปรับโฉม BMW X5 Series ให้มีความทันสมัย และเท่ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นให้ส่วนของหน้าจอกลางที่ปรับเปลี่ยนมาใช้ BMW Curved Display โดยเป็นจอโค้งขนาด 14.9 นิ้ว (จอระบบสัมผัส) เชื่อมไปยังหน้าจอมาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งในรถของ BMW รุ่นใหม่ ๆ ก็เริ่มมีการเลือกใช้จอชนิดนี้เพิ่มมากขึ้น ส่วนหลังคาเป็นกระจกแบบ Panorama เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ที่สำคัญในรุ่น xDrive30d ภายในยังถูกด้วยคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อเพิ่มความรู้สึกสปอร์ตยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีและคุณสมบัติอัจฉริยะใน BMW X5

สำหรับเทคโนโลยีและคุณสมบัติอัจฉริยะใน BMW X5 มีหลายจุดที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ xDrive, ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ, ระบบช่วยการขับขี่, ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชัน hold อัตโนมัติขณะรถหยุดนิ่ง, ช่วงล่าง Adaptive M และระบบไมลด์ไฮบริด 48 โวลท์ ที่ทำให้อัตราเร่งและการตอบสนองที่ไวยิ่งขึ้น และทำให้ X5 รุ่นใหม่นี้สามารถวิ่งได้ไกลสุดเป็น ระยะทาง 113 กิโลเมตร  

ราคา BMW X5 ตัวเลือกและการเปรียบเทียบรุ่นต่าง ๆ 

BMW X5 รุ่นปี 2023 มาพร้อม 2 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่ X5 xDrive30d M Sport มาพร้อมเทคโนโลยี 48V mild hybrid ที่ให้กำลัง 12 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo 2,993 ซีซี ที่ให้กำลังรวมสูงสุด 298 แรงม้า มีราคาเริ่มต้นที่ 5,099,000 บาท และ X5 xDrive50e M Sport เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo 2,998 ซีซี และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กําลังรวมสูงสุด 489 แรงม้า แบตเตอรี่สามารถวิ่งได้ไกล 113 กม. ราคาเริ่มต้นที่ 5,399,000 บาท

BMW X5 vs BMW X1 2023 การเปรียบเทียบรุ่นในกลุ่มเดียวกัน

หากเปรียบเทียบเทียบระหว่าง BMW X5 2023 (X5 xDrive50e M Sport) กับ BMW X1 2023 (BMW X1 xDrive30e) ที่ทั้ง 2 เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเช่นเดียวกัน แต่สำหรับ BMW X1 จะเป็นรถที่มีขนาดเล็กที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร 1,499 ซีซี ในขณะที่ X5ที่ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo 2,998 ซีซี โดย X1 มีกำลังรวมทั้งระบบอยู่ที่ 326 แรงม้า และ X5 มีกำลังรวมอยู่ที่ 489 แรงม้า ที่สำคัญ BMW X1 2023 รุ่นใหม่ยังถูก ดีไซน์ ให้ดูเท่ สปอร์ต และ ทันสมัยยิ่งขึ้น

ระหว่าง BMW X5 vs BMW X1 2023 รุ่นไหนน่าสนกว่า

หลังจากที่ได้ดูสเปคคร่าว ๆ ของทั้ง BMW X5 และ BMW X1 2023 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราเชื่อว่ากลุ่มลูกค้าของรถทั้ง 2 รุ่นต้องเป็นคนละกลุ่มอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้ว่า BMW ทั้ง 2 รุ่นจะเป็นรุ่นท้อปของซีรีส์ X1 และ X5 และเป็นรถปลั๊กอินไฮบริดเหมือนกัน แต่ราคาเพียงแค่ราคาก็ต่างกันอยู่ครึ่งต่อครึ่ง อีกทั้งดีไซน์ การตกแต่ง สมรรถนะ หรือออปชั่นต่าง ๆ ก็ต่างกันอยู่มาก ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าน่าจะทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากนัก 

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet



Categories
บทความทั่วไป

Type 57 SC Atlantic สุดยอดชิ้นงานออกแบบของ Jean Bugatti

Type 57 SC Atlantic

Type 57 SC Atlantic นับว่าเป็นรถยนต์อีกรุ่นหนึ่งของ Bugatti ที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งไม่เพียงแค่ดีไซน์ที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ในเรื่องของเครื่องยนต์ และพละกำลังของรถก็แสดงถึงตัวตนของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญรถรุ่นนี้ยังเป็นผลงานชิ้นออกแบบของ Jean Bugatti ลูกชายคนโตของ Ettore Bugatti ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Bugatti

Type 57 SC Atlantic รถซุเปอร์สปอร์ตคูเป้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Bugatti และผลิตออกมาเพียง 4 คัน

สำหรับ Bugatti Type 57 ถูกผลิตออกมาทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Atlantic และ Atalante ซึ่งถูกผลิตออกมาในช่วงปี 1934 – 1940 ตรงกับช่วงสมัยรัชกาลที่ 7 ของไทย และสำหรับรุ่นที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักคือ Type 57 SC Atlantic ตำนานที่ยิ่งใหญ่ของ Bugatti ที่ถูกผลิตออกมาในช่วงปี 1936 และ 1938 ซึ่งถูกผลิตออกมาทั้งหมดเพียง 4 คันทั่วโลกเท่านั้น 

โดย Bugatti Atlantic เป็นชิ้นงานดีไซน์ของ Jean Bugatti (ฌอง บูกัตติ) ลูกชายคนโตของ Ettore Bugatti ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Bugatti ที่สำคัญ 3 ใน 4 คันของ Type57 SC Atlantic ยังคงมีมาจนถึงปัจจุบัน และยิ่งไปกว่านั้นรถรุ่นนี้ยังกลายมาเป็นรถที่มีราคาสูงที่สุดในโลกอีกด้วย และเป็นเวลายาวนานกว่า 80 ปีที่วงการยานยนต์ของโลกตามหา Atlantic คันที่ 4 ที่สูญหายไปคันนี้ โดยรถทั้ง 3 คันที่ยังปรากฏตัวให้เห็นในปัจจุบันเป็นรถที่ลูกค้าของ Bugatti สัง่ทำขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีรหัสแชสซี 57 374, 57 473 และ 57 591 และเจ้าของรถคันแรกอย่าง Bugatti type57 SC Atlantic 57 591 คือ Briton R.B. Pope. จึงทำให้รถคันนั้นถูกเรียกว่า “Pope Atlantic” และเจ้าของคนปัจจุบันยังเป็นดีไซเนอร์แบรนด์ระดับโลกอย่าง Ralph Lauren อีกด้วย 

Type 57 SC Atlantic

นอกจากนี้ Bugatti Atlantic ยังเป็นเหมือนไอคอนให้กับเป็น Bugatti จนกลายมาเป็นประเพณีที่สานต่อในแง่ของความสง่างาม คุณภาพ และสมรรถนะ อีกทั้งยังเป็นรถคูเป้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในยุคนั้นและยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาจนถึงทุกวันนี้ และที่กล่าวว่า Type57 SC Atlantic กลายเป็นรถที่แพงที่สุดในโลก คำนี้ก็คงไม่ผิดไปทีเดียว โดยข้อมูลของปี 2017 เปิดเผยว่า Type57 SC Atlantic รหัส 57374 มีราคาอยู่ที่ราว 40 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 1,390,740,000 บาทเลยทีเดียว 

Bugatti Type57 SC Atlantic รหัสแชสซี 57 453 หายไปไหน? 

ตามที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่า Type57 SC Atlantic มีทั้งหมดเพียง 4 คันบนโลกนี้ และมี 1 ใน 4 คันที่หายไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย และดูเหมือนว่าปัจจุบันยังมีมีใครจะตามหามันเจอ โดย Bugatti type57 คันที่หายไปคือคันที่มีรหัสแชสซี 57 453 ซึ่งเป็นรถคันที่ 2 ของรุ่น Atlantic และว่ากันว่า Jean Bugatti สร้างคันนี้ให้ตัวเอง และมีเพียงเขาหรือเพื่อนบางคนเท่านั้นที่ได้รับเกียรติให้นั่งหลังพวงมาลัยของรถคูเป้คันนี้ที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักแข่งรถ Bugatti 

ปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า Jean Bugatti ขายรถคันนี้ให้กับเพื่อนนักแข่งรถของเขาหรือไม่ หรือว่าจะถูกย้ายไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่าฝรั่งเศส เนื่องจากหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และกองทัพเยอรมันก็รุกราน Alsace ซึ่งเป็นแคว้นในประเทศฝรั่งเศส และติดกับประเทศเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งหลายคนเชื่อว่าข้อนี้น่าจะเป็นไปได้มากกว่า และที่สำคัญการหายไปของมันคือหนึ่งในความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของรถยนต์เลยก็ว่าได้ ซึ่งนักประเมินได้ประเมินราคาของ Bugatti Type57 SC Atlantic 57 453 ไว้อยู่ที่ราว ๆ 100 ล้านยูโร หรือราว 3,718,230,425 บาทเลยทีเดียว 

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
บทความทั่วไป

ORA Grand Cat 2023 รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่อยากให้คุณลองรู้จัก

ORA Grand Cat 2023 เปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ด้วย รถไฟฟ้า โอล่า ด้วยโฉมหน้าเท่ ๆ แบบที่คุณต้องประทับใจ

ORA Grand Cat 2023 รถพลังงานไฟฟ้าระบบทันสมัย

ORA Grand Cat 2023

ORA Grand Cat2023 เป็นรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% เลย ตัวรถถือว่าเป็นขนาดกลางโดยมีถังซีดาน 4 ประตู ตัวดีไซน์เป็นทรงคูเป้ให้ความเรียบหรูและเท่ในเวลาเดียวกัน มีแนวหลังคาโค้งไปถึงด้านหลัง มีความมนกลมแบบมินิมอล ส่วนไฟหน้ารถจะเป็นการผสมกันระหว่างไฟใหญ่ Smart LED , ไฟ DRL ที่ใช้สำหรับการวิ่งในช่วงเวลากลางวัน และไฟเลี้ยว การนำไฟทั้งสามมารวมไว้ในโคมเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมให้ดีไซน์ด้านหน้ารถดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น ตรงประตูจะเป็นแบบ Pop-out สามารถกางออกได้อัตโนมัติ โดยส่วนของมิติตัวถัง โอร่า แกรนด์ แคท 2023 จะมีขนาดใกล้เคียงกับรถญี่ปุ่นขนาดกลาง ความยาว 4,871 มม. กว้าง 1,862 มม. และสูง 1,500 มม. โดยมีระยะฐานของล้ออยู่ที่ 2,870 มม.

รถไฟฟ้าORA Grand Cat 2023 ดีไซน์ล้ำคิดมาแล้วเพื่อคุณ

รถไฟฟ้าORA Grand Cat 2023 หรือORA Lightning Cat จะมีห้องโดยสารที่ดีไซน์ออกมามีความพรีเมียมหรูหรา แต่ขณะเดียวกันก็มีความสปอร์ตเท่ ๆ อยู่ เช่นเรือนไมล์ดิจิทัลที่ใช้ทรงกลม 3 วงซ้อน ๆ กัน โดยที่ตรงกลางจะเป็นจออินโฟเทนเมนต์ที่ลอยตัวสามารถสั่งการด้วยเสียงได้ด้วย อีกทั้งยังใช้การจดจำใบหน้าได้ด้วยเช่นกัน ในส่วนของพวงมาลัย 3 ก้าน ตรงคอนโซลกลางนั้นพาดลงมาแยกส่วนกับคนขับและและผู้โดยสาร ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับ รถซูเปอร์คาร์ บริเวณเบาะจะเป็นหนังหุ้มลักษณะพิเศษ เนื้องานมีความคุณภาพสูง เบาะคู่หน้าเป็นแบบสปอร์ตสามารถปรับไฟฟ้าได้ทั้งหมด 6 ทิศทางและ 4 ทิศทาง มีลำโพงมาให้ถึง 11 ตัวด้วยกัน และระบบปรับอากาศก็แยกมาให้ 2 โซนเลย ที่สำคัญมาก ๆ คือมีระบบกรอง PM 2.5 มาให้แล้วด้วย

รถไฟฟ้าORA Grand Cat 2023 มีหลายรุ่นให้ได้จับจอง

รถไฟฟ้าORA Grand Cat 2023 จะมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่ รุ่น Standard Range Deluxe/ Premium จะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ให้กำลังสูงสุดที่ 204 แรงม้า ใช้ระยะทางวิ่ง 555 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง รุ่น Long Range ใช้มอเตอร์ 1 ตัวกับ 204 แรงม้าเท่ากัน แต่ใช้ระยะทางวิ่ง 705 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และรุ่น Performance AWD จะใช้มอเตอร์ทั้งหมด 2 ตัว กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 408 กิโลเมตรและใช้ระยะทางวิ่ง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งORA Grand Cat ราคา ของทั้ง 3 รุ่นจะเริ่มต้นที่ 1.01 ล้านบาท แต่ละรุ่นก็จะมีราคาใกล้เคียงกัน เรียกได้ว่าน่าลองมาก ๆ เลยทีเดียว

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
บทความทั่วไป

Neta U Pro เปิดตัวแรงสร้างเสียงฮือฮาต้อนรับปี 2023

Neta U Pro ที่สุดของความคุ้มค่าของ รถ EV ในปี 2023 ที่คุณควรจัดมาสักหนึ่งคัน

Neta U Pro มาแรงอย่างยิ่งใหญ่เทียบรถแบรนด์ท็อประดับโลก

Neta U Pro

รถยนต์ไฟฟ้าNeta U Pro รถรุ่นใหม่มาแรงที่ไม่มีคนรักรถคนไหนไม่เคยได้ยินชื่อ เพราะเมื่อวันที่เปิดตัวรถรุ่นนี้ได้สร้างเสียงฮือฮาอย่างหนักมาก จากกระแสก่อนเมื่อการเปิดตัว Tesla ในไทยทำให้หลายคนอึ้งกับราคาที่ถูกกว่าที่คิดอย่างมาก ขณะเดียวกันตัวรถรุ่นนี้เองก็มาในราคาที่ถูกมากเช่นกัน ซึ่งเป็นการเดินรอยตามการตลาดเหมือนเมื่อตอนเปิดตัวรถNeta V เลยทีเดียว ซึ่งจากแหล่งข่าวที่กำลังพูดถึงกันมีการตีราคาไปแล้วว่า มีโอกาสสูงมาก ๆ ที่รถรุ่นนี้จะเปิดตัวในไทยด้วยราคาที่ไม่ถึง 1 ล้านบาทเท่านั้น ไม่ว่าจะ Ora Good Cat หรือรถ MG บอกเลยว่าการแข่งขันทางการตลาดจะร้อนเป็นไฟอย่างแน่นอน

รถNeta U Pro ดีไซน์ทันสมัยไม่ตกเทรนด์

รถยนต์ไฟฟ้าNeta U Pro ตัวท็อปที่เราจะได้เห็นกันนั้นมาพร้อมกับจอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่ถึง 8 นิ้วด้วยกัน นอกจากนี้ยังออกแบบหลังคามาให้เป็น Panoramic Sunroof ที่ให้ความกว้างปลอดโปร่งแบบฉบับที่รถรุ่นใหม่ในยุคหลัง ๆ มานี้มักใช้กัน การออกแบบเบาะนั่งของเขาจะเป็น เบาะนั่งสไตล์เรซซิ่ง ที่สามารถปรับที่นั่งได้สูงสุดถึง 6 ทิศทางด้วยกัน นอกจากนี้เบาะนั่งคู่หน้ายังสามารถปรับอุณหภูมิให้อุ่นได้ด้วย และที่ชอบมาก ๆ เลยคือการมาพร้อมกับระบบแอร์ที่มีฟิลเตอร์ N95 สามารถกรองอากาศดักจับฝุ่นเล็ก ๆ ได้มากถึง 0.3 ไมครอน นั่นหมายความว่าฝุ่น PM2.5 จะไม่สามารถเข้ามาในรถได้เลย นอกจากนี้ยังรองรับระบบการออกคำสั่งด้วยเสียงได้ด้วย หรือจะเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อโทรฉุกเฉินหลังเกิดอุบัติเหตุได้ด้วยเช่นกัน

รถยนต์ไฟฟ้าNeta U Pro เร็วแรงแซงทุกคัน

รถยนต์ไฟฟ้าNeta U Pro ออกแบบระบบภายตัวถังมาค่อนข้างใหญ่กว่ารถ BYD Atto 3 ซึ่งหมายความว่าหากคุณซื้อรถNeta รุ่นนี้ ก็จะได้รถในราคาที่ถูกกว่าแต่ได้รถที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีภาพลักษณ์ที่ดูดีกว่าด้วย นอกจากนี้ยังมีระยะทางวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 610 กิโลเมตรตามมาตรฐานของ CLTC โดยการชาร์จ 1 ครั้งจะสามารถวิ่งได้ 500 กิโลเมตรตามการวัดจาก WLTP มีกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าสูงที่สุด 227 แรงม้าด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 310 นิวตันเมตร และสามารถทำอัตราเร่งได้ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7 วินาทีอีกด้วย เรียกได้ว่าจากข้อมูลที่ได้นำมาแจกแจงให้ทุกคนได้ทราบแบบนี้ นับว่าเป็นรถที่น่าสนใจมาก ๆ อีกรุ่นในปี 2023 นี้เลย

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet

Categories
บทความทั่วไป

รวม 3 มอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง Suzuki สไตล์ทัวร์ริ่ง รุ่นปี 2023

มอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง Suzuki

มอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง Suzuki นับว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์อีกยี่ห้อหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูง อีกทั้งยังมีรถมอเตอร์ไซค์ให้เลือกหลายประเภททั้ง มอเตอรไซค์บิ๊กไบค์สปอร์ต, มอเตอรไซค์บิ๊กไบค์สตรีท, มอเตอรไซค์บิ๊กไบค์สกู๊ตเตอร์, แฟมิลี่ไบค์ รวมไปถึง มอเตอรไซค์บิ๊กไบค์สไตล์ทัวร์ริ่งที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันในวันนี้ด้วย 

มอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง Suzuki V-Strom 3 รุ่นย่อย รุ่นไหนใช่ รุ่นไหนชอบ

สำหรับมอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง Suzuki ที่เราจะพาไปทำความรู้จักกันในวันนี้จะเป็น 3 รุ่นย่อยจาก Suzuki V-Strom ที่มีความเท่และเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งจะมาพร้อมขนาดของเครื่องยนต์ที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้

  • Suzuki V-Strom SX

นับว่าเป็นรุ่นเริ่มต้นของซีรีส์ V-Strom โดยเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 จังหวะ, Single-Cylinder, Oil-Cooled, SOHC ขนาด 249.1 ซีซี 26.5 แรงม้า ระบบเกียร์ 6 สปีด Constant Mesh ถังน้ำมันขนาด 12 ลิตร ขนาดตัวรถ 880 x 2,180 x 1,355 มม. (กว้าง x ยาว x สูง (มม.)) และน้ำหนัก 165 กิโลกรัม มี 2 สีให้เลือก คือ Champion Yellow และ Glass Sparkle Black

ราคา: 179,000 บาท

  • Suzuki V-Strom 650XT 

เป็นรถที่มีขนาดอยู่ที่ 910 x 2,275 x 1,405 (กว้าง x ยาว x สูง (มม.)) น้ำหนัก 216 กิโลกรัม มี 4 สีให้เลือก ได้แก่ Champion Yellow, Pearl Vigor Blue / Metallic Mat Sword Silver, Pearl Brilliant White และ Glass Sparkle Black โดย มอเตอร์ไซค์ ซูซูกิ ตัวใหม่ คันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 จังหวะ, liquid-cooled, DOHC, V-Twin 90 องศา ขนาด 645 ซีซี 71 แรงม้า ระบบเกียร์ 6 สปีด Constant Mesh และ ถังน้ำมันขนาด 20 ลิตร 

ราคา: 379,000 บาท

  • Suzuki V-Strom 1050DE

พี่ใหญ่ของรุ่นที่มาพร้อมขนาด 940 x 2,265 x 1,465 (กว้าง x ยาว x สูง (มม.)) น้ำหนัก 247 กิโลกรัม พร้อมเครื่องยนต์ 4 จังหวะ, liquid-cooled, DOHC, V-Twin 90 องศา ขนาด 1037 ซีซี 107 แรงม้า ระบบเกียร์ 6 จังหวะ Constant Mesh และ ถังน้ำมันขนาด 20 ลิตร และมี 3 สีให้เลือก ได้แก่ Champion Yellow / Metallic Mat Sword Silver, Pearl Vigor Blue / Pearl Brilliant White และ Glass Sparkle Black / Metallic Mat Black

ราคา: 619,000 บาท

มอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง Suzuki

Suzuki V-Strom 800DE มอเตอร์ไซค์ทัวร์ริ่งอีกหนึ่งที่น่าสน

เมื่อต้นปี 2023 ที่ผ่านมา ภายในงาน Motor Show ซูซูกิ ได้มีการเปิดตัว V-Strom 800DE มอเตอร์ไซค์ทัวริ่งSuzuki อีกหนึ่งรุ่นที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในเรื่องของเครื่องยนต์ที่รุ่นนี้จะไม่มี V-Twin เหมือนกับ Suzuki V-Strom 650XT  และ Suzuki V-Strom 1050DE  โดย Suzuki V-Strom 800DE จะมาพร้อมเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 4 วาล์ว liquid-cooled ขนาด 776 ซีซี 83.1 แรงม้า โดยรุ่นดังกล่าวเปิดตัวมาพร้อมราคาเริ่มต้นที่ 459,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่นที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับ Suzuki V-Strom 650XT และทั้ง 2 รุ่นมีราคาแตกต่างกันที่ประมาณ 80,000 บาท อีกทั้งในส่วนของการนำเข้าในไทยอย่างเป็นทางการของ V-Strom 800DE ก็ยังไม่ปรากฏออกมาว่าจะมีการวางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ดังนั้นสำหรับใครที่สนใจรถรุ่นดังกล่าวก็สามารถสอบถามไปยังศูนย์บริการของ Suzuki ได้โดยตรง 

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

สนับสนุนโดย : sa-game.bet