สินค้า simulator

กิจกรรม

การแข่งขัน

แนะนำอุปกรณ์

ทดลองอุปกรณ์

Categories
บทความทั่วไป

TOYOTA YARIS โดดเด่นอย่างมีสไตล์ คุ้มค่าในทุกการขับขี่

TOYOTA YARIS

หากจะเรียกรถยนต์รุ่น TOYOTA YARIS ว่าเป็นรถนั่งระดับตำนานก็คงไม่ผิด เพราะถึงใครจะมองว่าเป็นรถเล็ก แต่นี่คือรถรุ่นเรือธงของค่ายยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้า คันนี้ไม่ได้มีดีแค่รูปโฉมภายนอกที่โดนใจคนเมืองแบบสุดๆ เรื่องสมรรถนะการขับขี่ก็ไม่ธรรมดา เน้นใช้งานง่าย ประหยัด คล่องตัวในทุกจังหวะ และสำหรับสายแต่งรถก็บอกได้คำเดียวเลยว่า ชุดแต่งของรถตระกูลนี้สวยจนใจเจ็บ ยิ่งไปกว่านั้นการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง TOYOTA YARIS CROSS ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของรถในกลุ่มยาริสดูดีมากขึ้นไปอีก

เผยโฉม TOYOTA YARIS ที่ไม่ได้มีแค่รถเก๋งขนาดกะทัดรัด

จากการเปิดตัวครั้งแรกของรถนั่งโตโยต้า ยาริส ที่มีการออกแบบให้ตัวรถมีขนาดกะทัดรัด เน้นการใช้งานในเขตเมืองเป็นหลัก แล้วก็ดันได้รับความนิยมอย่างมากจนผลิตแทบไม่ทัน จากนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงติดภาพจำว่า TOYOTA YARIS จะต้องมีขนาดเล็กเสมอ ทั้งที่ความจริงรถรุ่นใหม่ได้พัฒนาให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างไปจากเดิม ก่อนจะไปถึงน้องใหม่แกะกล่องอย่าง YARIS CROSS เราเลยจะพาไปรู้จักกับรถรุ่นพี่ยอดนิยมทั้ง 4 กันก่อน

TOYOTA YARIS

TOYOTA YARIS รุ่น Sport

โตโยต้า ยาริสรุ่นนี้มีงานดีไซน์ที่ค่อนข้างโฉบเฉี่ยว ไฟหน้ามีขนาดใหญ่และช่วงปลายเชิดขึ้น กระจังหน้าเป็นสีดำเงาดูดุดันพร้อมตกแต่งเพิ่มมิติด้วยแถบโครเมี่ยม ด้านท้ายเชิดขึ้นเล็กน้อย มีสปอยเลอร์สั้นและเสาอากาศปลาฉลาม ภายในตกแต่งด้วยสีดำแซมเทา ฐานเกียร์สีดำเปียโน มาพร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และหน้าจอดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว มีระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ควบคุมการทรงตัว และระบบความปลอดภัยพื้นฐานอื่นๆ ครบครัน

TOYOTA YARIS รุ่น Smart

เรื่องความหรูหราและประสิทธิภาพการใช้งานต้องยกให้รุ่นนี้ โตโยต้า ยาริส ที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าวัยทำงานมากขึ้น ภายนอกจะมีความเรียบหรูกว่ารุ่น Sport อย่างเห็นได้ชัด ช่วงตัวรถที่ยาวกว่าทำให้ห้องโดยสารกว้างขวางกว่า แต่การตกแต่งภายนอกทั้งด้านหน้าและด้านหลังไม่ต่างกันมากนัก ส่วนที่พิเศษจะเป็นฟังก์ชันภายในกับสมรรถนะที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น ใช้กระจกหน้าแบบ Acoustic Glass ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนได้ยอดเยี่ยม ะบบ Smart Entry และ Push Start จอเครื่องเล่นขนาด 8 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อหลายระบบ เป็นต้น

TOYOTA YARIS

TOYOTA YARIS รุ่น Premium

รุ่นนี้ถือว่าเป็นรถโตโยต้า ยาริสแบบ minor change เพราะเป็นการดัดแปลงมาจากรุ่น Smart ภายนอกแทบจะเหมือนกัน มีความแตกต่างแค่เฉดสีที่เพิ่มขึ้น แต่ภายในจัดหนักจัดเต็มกับการตกแต่งทุกอย่างให้ Premium สมชื่อ ฟังก์ชันต่างๆ ที่มีในรถรุ่น Smart ก็จะมีในรุ่นนี้ด้วย แล้วก็เพิ่มลำโพงเป็น 6 ตำแหน่ง ขยายขนาดจอดิจิทัลเป็น 9 นิ้ว มีกล้องมองรอบคัน และเพิ่มระบบเตือนทั้งป้องกันการชนรอบคัน เตือนเมื่อกำลังถอยรถ และเตือนเวลาที่รถกำลังออกนอกเลนด้วย ครั้งนี้ใส่เทคโนโลยีใหม่ๆ ให้ผู้ใช้แบบจัดเต็มเลย

TOYOTA YARIS รุ่น Premium S

อีกครั้งกับการ minor change เมื่อทางโตโยต้าเห็นว่ารุ่น Premium ได้เสียงตอบรับที่ดีมาก แต่พอเปรียบเทียบระหว่างรุ่น Premium กับรุ่น Smart ก็ยังไม่สามารถดึงดูดใจผู้ขับขี่บางกลุ่มให้ขยับรุ่นรถขึ้นมาได้ จึงปล่อยไพ่ใบใหม่ด้วยการแต่งภายในของ TOYOTA YARIS Premium ให้โดดเด่นจนคนต้องเหลียวมอง การตกแต่งภายในเลือกใช้เป็นสีทูโทนดำ-แดง แผงประตูและที่พักแขนหุ้มหนังแดงและเดินด้ายแดง พวงมาลัยก็ตกแต่งด้วยงานเมทัลลิกเพิ่มเติม

TOYOTA YARIS

TOYOTA YARIS CROSS ครั้งแรกกับการบุกตลาด B-SUV

ในปี 2024 นี้ TOYOTA YARIS ได้เปิดตัวน้องใหม่รุ่นล่าสุดภายใต้ชื่อ YARIS CROSS และเป็นการลบภาพจำเก่าของเหล่าแฟนคลับรถนั่งขนาดกะทัดรัดไปเลย เนื่องจากรถรุ่นนี้เป็นประเภทครอสโอเวอร์ B-SUV ที่ไม่ได้มีดีแค่ความกว้างขวางของห้องโดยสาร เพราะมาในแนวคิดของรถหรูระดับ Premium Luxury ชนิดที่ว่าหลายคนเริ่มชั่งใจเทียบกับรถรุ่น COROLLA กันเลย ไปดูกันว่ามีอะไรเป็นจุดขายกันบ้าง

  • YARIS CROSS จะได้เครื่องยนต์ไฮบริดแบบเฉพาะของโตโยต้า ประหยัดและคุ้มค่ามากกว่า
  • รูปโฉมที่ไม่เหลือเค้าเดิมของรถกลุ่มยาริส YARIS CROSS จะดูใหญ่และกว้างกว่า มีความดุดัน โฉบเฉี่ยว ขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความรู้สึกหรูหรามีระดับ
  • ระบบไฟ Full LED แบบจัดเต็ม มีระบบเปิดปิดไฟอัตโนมัติ มีไฟตัดหมอก และฟังก์ชัน Follow-me-home เรียกว่าครบครันเรื่องไฟไม่ต้องแต่งเพิ่มอีกเลย
  • ตัว Top TOYOTA YARIS CROSS จะได้หลังคา Panoramic Glass Roof มาด้วย แต่จะไม่สามารถเปิดปิดกระจกได้ ควบคุมได้แค่ม่านกรองแสงเท่านั้น ส่วนนี้ช่วยให้รู้สึกโล่งโปร่งสบายมากขึ้น โดยไม่ได้รับความร้อนจากแสงแดดภายนอก
  • ภายในใส่เทคโนโลยีให้แบบไม่กั๊ก ไล่ไปตั้งแต่หน้าจอแสดงข้อมูลแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว เบรกมือไฟฟ้า ระบบกรองฝุ่น PM2.5 จออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสที่เชื่อมต่อได้หลายระบบ Wireless Charger และอื่นๆ อีกมากมาย
  • ระบบความปลอดภัยก็เต็มพิกัดเช่นเดียวกัน อะไรก็ตามที่เป็นระบบมาตรฐานมีในรถรุ่นนี้ทั้งหมด และยังเพิ่มเติมระบบเตือนต่างๆ เช่น เตือนมุมอับสายตา เตือนเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัว เตือนเมื่อพบการเหยียบคันเร่งที่ผิดปกติ เป็นต้น 
  • มีระบบอัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน TOYOTA YARIS CROSS เช่น ระบบวัดความแรงดันลมยาง เป็นต้น

ข้อแตกต่างของรถ COROLLA กับ TOYOTA YARIS CROSS

หลังจากได้เห็นคุณสมบัติทั้งหมดของรถรุ่น TOYOTA YARIS CROSS กันไปแล้ว หลายคนก็เริ่มลังเลใจว่าจะเปิดใจให้น้องใหม่ หรือจะกลับไปเทใจให้กับรุ่นพี่ในค่ายเดียวกันอย่าง COROLLA งานนี้เราก็เลยต้องเปรียบเทียบให้เห็นว่ารถ 2 รุ่นนี้ต่างกันตรงไหน ซึ่งเรื่องรูปโฉมภายนอกน่าจะเป็นความชื่นชอบเฉพาะบุคคล เราเลยจะไปที่สเปคในส่วนอื่นกันเลย ฟังก์ชันภายในไม่ค่อยหนีกันมากเท่าไร จุดที่ต่างจริงๆ จึงเหลือแค่อย่างเดียว คือตัวถังของยาริสเล็กกว่า COROLLA แล้วก็มีช่องว่างด้านล่างสูงกว่าด้วย

ด้วยลักษณะทางกายภาพแบบนี้เลยทำให้ TOYOTA YARIS ค่อนข้างได้เปรียบในด้านความคล่องตัว แต่ COROLLA ยังคงเหนือกว่าในเรื่องสมรรถนะการขับขี่ที่ย่านความเร็วสูง เวลาเพิ่มอัตราเร่งรถจะมีความเสถียรกว่า ไม่โยกไม่ส่าย และไม่มีอาการเหินให้เห็น ดังนั้นการจะตัดสินใจว่าควรซื้อรถรุ่นไหนดีกว่า ก็ต้องมองเรื่องรูปแบบการใช้รถของตัวเองประกอบด้วย 

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

Categories
บทความทั่วไป

อัพเดทข้อมูล ทำใบขับขี่รถยนต์ 2567 ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง

ทำใบขับขี่รถยนต์

สำหรับใครก็ตามที่ออกรถใหม่ป้ายแดงมาแล้วยังไม่มีใบขับขี่ หรือใช้รถมานานเป็นปีแล้วแต่ก็ยังไม่ทำใบขับขี่รถยนต์สักที ไม่ว่าจะด้วยความคิดที่ว่าแค่ขับขี่อยู่แถวบ้าน ไม่ได้เดินทางไปไหนไกล หรือจะด้วยความกังวลใจว่าการสอบเพื่อทำใบขับขี่ใหม่นั้นเป็นเรื่องยาก บอกเลยว่าปีนี้ทุกอย่างจะง่ายขึ้น และผู้สอบก็มีทางเลือกมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้จะอธิบายทุกรายละเอียด ตั้งแต่ทำใบขับขี่เตรียมเอกสารอะไรบ้าง ทำใบขับขี่ครั้งแรกเสียกี่บาท และทำใบขับขี่เตรียมตัวอย่างไร เพราะฉะนั้นมีเวลาเมื่อไรควรรีบไปทำเรื่องสอบ จะได้ใช้รถใช้ถนนอย่างสบายใจและช่วยให้ไม่เสียสิทธิ์ที่พึงได้กรณีมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น

ทางเลือกสำหรับการทำใบขับขี่รถยนต์ครั้งแรก

ก่อนหน้านี้การสอบใบขับขี่จะต้องเดินทางไปที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น ต้องยื่นเอกสารพร้อมเข้ารับการทดสอบร่วมกับคนอื่นๆ และจำเป็นต้องสอบในวันเวลาราชการ ซึ่งหลายคนไม่ค่อยสะดวก แต่เดี๋ยวนี้เรามีทางเลือกมากกว่า และอาจเป็นทางเลือกที่ช่วยให้มือใหม่หัดขับรู้สึกสบายใจกับการสอบมากกว่าด้วย อย่างไรก็ตามแต่ละช่องทางก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ก่อนตัดสินใจทำใบขับขี่รถยนต์ผ่านช่องทางไหนจึงต้องรู้เรื่องเหล่านี้เสียก่อน

เรียนและสอบผ่านโรงเรียนสอนขับรถ

ทางเลือกนี้เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังหัดขับรถ เพราะสามารถเลือกหลักสูตรที่จะเรียนได้ตามต้องการ มันจะเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคขับขี่ให้ปลอดภัย รู้วิธีควบคุมรถในสถานการณ์ต่างๆ พร้อมกับเรียนรู้กฎจราจรไปด้วย เราจะได้ฝึกปฏิบัติจริงโดยมีครูฝึกดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว จากนั้นจะมีระบบให้สอบเพื่อทำใบขับขี่รถยนต์ที่โรงเรียนเลย เมื่อสอบผ่านก็นำใบรับรองไปยื่นที่กรมการขนส่งทางบก แล้วเจ้าหน้าที่จะออกใบขับขี่ตัวจริงให้ 

ข้อดีคือสะดวกสบายมาก เพราะทางโรงเรียนช่วยดูแลเรื่องการจัดเตรียมเอกสารต่อใบขับขี่ 2567 และให้คำแนะนำในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ มีบริการแม้กระทั่งรถยนต์ให้ยืมขณะฝึกหัดและสอบขับขี่จริงในสนาม แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าเนื่องจากการสอบนี้เป็นเหมือนการลงคอร์สเรียนขับรถไปด้วยในตัว อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้โดนมิจฉาชีพหลอกและลดความเสี่ยงที่จะได้ใบขับขี่ปลอม ควรเลือกใช้บริการโรงเรียนที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น

เรียนด้วยตัวเองแล้วสอบตรงกับกรมการขนส่งทางบก

ช่องทางการทำใบขับขี่รถยนต์แบบดั้งเดิมที่ยังคงเป็นตัวเลือกของหลายๆ คนอยู่ ก็คือการติดต่อยื่นเอกสารต่อใบขับขี่ 2567 และขอสอบที่กรมการขนส่งทางบก ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนและรถยนต์จะเป็นทะเบียนของจังหวัดใด สามารถไปติดต่อขอสอบกับกรมการขนส่งทางบกที่ไหนก็ได้ที่สะดวก เพียงแค่วิธีการติดต่อในปัจจุบันจะแตกต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย คือแทนที่เราจะเดินเข้าไปแล้วลุ้นหน้างานว่าคนสอบจะเยอะไหม มีคิวว่างพอให้สอบหรือไม่ เราสามารถจองวันเวลาที่สะดวกได้ล่วงหน้าเลย ข้อดีของการสอบตรงด้วยตัวเองแบบนี้คือมีค่าใช้จ่ายน้อย และมั่นใจว่าจะได้รับใบขับขี่ใหม่ที่ถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน แต่ก็แลกกับขั้นตอนดำเนินการที่มากสักหน่อย

ขั้นตอนการทำใบขับขี่รถยนต์ครั้งแรกด้วยตัวเอง

อย่างแรกที่อยากจะบอกกับทุกคนก็คือ การทำใบขับขี่ใหม่ไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่ต้องรู้ว่าทำใบขับขี่เตรียมเอกสารอะไรบ้าง จัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน แล้วก็ทำทุกอย่างไปตามขั้นตอน โดยปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกได้กำหนดให้การทำใบขับขี่รถยนต์ครั้งแรกต้องสอบทั้งหมด 2 วัน แบ่งเป็นการเข้าอบรม 1 วัน ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ส่วนอีกวันเป็นการสอบข้อเขียนและการสอบปฏิบัติ ถ้าสอบผ่านทั้งหมดก็ถ่ายรูปพร้อมรับบัตรในวันนั้นเลย ทีนี้มาดูกันว่าแต่ละขั้นตอนเตรียมตัวอย่างไรและทำอะไรบ้าง

จองคิวสอบผ่านแอพพลิเคชัน DLT Smart Queue

อันดับแรกให้จองวันเวลาที่จะเข้าสอบให้เรียบร้อยก่อน เพราะบางครั้งอาจต้องรอหลายวันกว่าจะมีคิวว่าง วิธีการคือให้เข้าไปที่แอพพลิเคชัน DLT Smart Queue ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ iOS และ Android หรือจะเข้าใช้งานผ่านหน้าเว็บไซต์ก็ได้ หลังเข้าสู่ระบบได้แล้วให้เลือกหมวด “งานใบอนุญาต” แล้วเลือก “ใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล” สุดท้ายแล้วจะเจอกับตารางปฏิทินที่ระบุวันเวลาให้บริการ เราแค่ดูวันที่สะดวกและยังมีคิวว่างอยู่ เมื่อกดจองคิวผ่านระบบออนไลน์เสร็จสิ้นจะมีข้อมูลโชว์ในประวัติส่วนตัวว่าเราจองคิวทำใบขับขี่รถยนต์วันไหน ทำใบขับขี่เตรียมเอกสารอะไรบ้าง และทำใบขับขี่ครั้งแรกเสียกี่บาท

อ่านคู่มืออบรมใบขับขี่และจัดเตรียมเอกสาร

เมื่อจองคิวได้แล้วให้เข้าไปที่ https://safedrivedlt.com เพื่อดาวน์โหลดคู่มืออบรมใบขับขี่มาอ่านเป็นข้อมูลเบื้องต้น พร้อมกับจัดเตรียมเอกสารต่อใบขับขี่ 2567 ให้เรียบร้อย ซึ่งเอกสารมีแค่ 2 อย่างเท่านั้น คือ

  • บัตรประชาชนฉบับจริง ไม่ต้องถ่ายสำเนา
  • ใบรับรองแพทย์ ที่มีอายุไม่เกิน 1 เดือน

ใบรับรองแพทย์สามารถขอที่โรงพยาบาลหรือคลินิกไหนก็ได้ โดยแจ้งว่าขอใบรับรองแพทย์เพื่อสอบใบขับขี่ เพราะจะมีแบบฟอร์มเฉพาะที่กำหนดไว้อยู่ นอกจากนี้ถ้าไม่มั่นใจก็สามารถเช็กซ้ำผ่านแอพพลิเคชันได้ว่าทำใบขับขี่เตรียมเอกสารอะไรบ้าง รวมถึงเช็กข้อมูลอื่นได้ด้วย เช่น ทำใบขับขี่ครั้งแรกเสียกี่บาท เป็นต้น

เข้าฟังอบรมภาคทฤษฎีจำนวน 5 ชั่วโมงเต็ม

สำหรับการทำใบขับขี่รถยนต์ครั้งแรก จะต้องเดินทางไปฟังอบรมที่กรมการขนส่งทางบกที่เลือกไว้เท่านั้น ไม่สามารถอบรมผ่านระบบออนไลน์ได้ โดยระยะเวลารวมในการอบรมจะอยู่ที่ประมาณ 5 ชั่วโมง แบ่งเป็นช่วงเช้าและช่วงบ่าย เนื้อหาก็เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย กฎหมายและข้อควรปฏิบัติต่างๆ ซึ่งจะอยู่ในข้อสอบภาคทฤษฎีด้วย ส่วนนี้จึงค่อนข้างสำคัญ ควรตั้งใจและทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมด เพื่อให้การสอบผ่านไปได้อย่างราบรื่น

สอบข้อเขียน

รูปแบบการสอบจะเป็นการทำข้อสอบผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการจับเวลาเฉพาะบุคคล เริ่มเข้าสู่ระบบเมื่อไรเวลาก็เริ่มเดินเมื่อนั้น เนื้อหาจะแบ่งเป็น 9 หมวด 50 ข้อ ผู้สอบต้องได้คะแนนมากกว่า 90% ถึงจะผ่านเกณฑ์ พอทำข้อสอบเสร็จเราจะรู้ผลคะแนนทันที คนที่สอบผ่านข้อเขียนเท่านั้นที่จะได้สอบภาคปฏิบัติต่อ แต่ถ้าสอบไม่ผ่านก็ต้องนัดวันเข้ามาสอบซ่อมกันใหม่ ส่งผลให้การทำใบขับขี่รถยนต์กินเวลายืดยาวออกไปอีก ดังนั้นถ้าถามว่าทำใบขับขี่เตรียมตัวอย่างไร ก็ต้องบอกว่าเตรียมตัวสอบข้อเขียนให้ผ่านในครั้งเดียวให้ได้

สอบภาคปฏิบัติพร้อมรับใบขับขี่

การสอบภาคปฏิบัติจะมีท่าบังคับอยู่ 3 ท่าด้วยกัน ได้แก่ เดินหน้าและถอยหลัง จอดเทียบทางเท้า และการถอยรถเข้าซอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคนที่ใช้รถเป็นประจำอยู่แล้ว แต่หากเป็นมือใหม่ที่ยังไม่คล่องมากนัก ก็ควรฝึกด้วยตัวเองก่อนถึงวันสอบ เพราะบางสนามจะไม่อนุญาตให้สอบซ่อมในวันเดียวกัน ต้องนัดวันมาสอบใหม่เช่นเดียวกับการสอบซ่อมข้อเขียน คราวนี้มาดูกันว่าสอบภาคปฏิบัติเพื่อทำใบขับขี่เตรียมตัวอย่างไร

เดินหน้าและถอยหลัง

ด่านแรกของการทำใบขับขี่รถยนต์ เป็นการบังคับรถให้เดินหน้าและถอยหลังตามทางเดินรถที่มีขนาดประมาณ 2.5 เมตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของช่องจราจรทั่วไป ความยาวของด่านทดสอบอยู่ที่ประมาณ 10-20 เมตร ผู้สอบมีหน้าที่แค่เดินรถไปโดยห้ามเบียดขอบด้านข้าง ห้ามทับแนวเส้นที่กำหนด ห้ามรถดับขณะเดินหน้าหรือถอยหลัง และต้องขับเคลื่อนรถแบบรวดเดียวจบเท่านั้น

จอดเทียบทางเท้า

เป็นการขับรถมาหยุดในจุดที่กำหนด ซึ่งเป็นการจอดในลักษณะจอดเทียบด้านข้างของทางเท้า โดยจะมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่า ด้านหน้ารถจะต้องหยุดห่างจากจุดหยุดไม่เกิน 1 เมตร และด้านข้างจะต้องห่างจากทางเท้าไม่เกิน 25 เซนติเมตร ขณะเดียวกันล้อรถก็ต้องไม่เบียดขอบทางเท้าหรือปีนขึ้นด้านบน ถึงจะผ่านเกณฑ์ของการทำใบขับขี่รถยนต์ได้ นอกจากนี้จะต้องเป็นการขับขี่มาแล้วหยุดรถให้นิ่งในครั้งเดียว เมื่อหยุดแล้วก็ไม่สามารถขยับได้อีก

ถอยรถเข้าซอง

ด่านสุดท้ายของการทำใบขับขี่ใหม่ สนามสอบจะมีการตั้งกรวยหรือตีเส้นไว้เป็นช่องจอดรถ ผู้สอบจะต้องขับรถไปถึงจุดนั้น แล้วถอยหลังเข้าจอดในช่องให้ได้ โดยจะมีการกำหนดจำนวนครั้งการเข้าเกียร์เอาไว้ เมื่อรถหยุดสนิทแล้วเริ่มเข้าเกียร์ถอยหลังจะนับเป็นครั้งที่ 1 เงื่อนไขการสอบให้ผ่านก็คือจะต้องจอดให้ช่องให้ได้ ตัวรถขนานไปกับช่องจอด ล้อหมุนตรงไปข้างหน้า และต้องเปลี่ยนเกียร์เพื่อเดินหน้า-ถอยหลังไม่เกินจำนวนที่กำหนด

ชำระค่าบริการและรับใบขับขี่รถยนต์

เมื่อสอบผ่านทั้งหมดแล้วก็ถึงเวลาถ่ายรูปติดบัตรและชำระค่าบริการ คำถามต่อมาก็คือ ทำใบขับขี่ครั้งแรกเสียกี่บาท การทำใบขับขี่รถยนต์ครั้งแรกจะได้รับเป็นใบขับขี่ชั่วคราวที่มีอายุ 2 ปี ค่าใช้จ่ายแบ่งเป็นค่าคำขอ 5 บาท และค่าธรรมเนียมอีก 200 บาท รวมเป็น 205 บาท เมื่อถึงเวลาต้องมาต่ออายุก็จะได้เปลี่ยนจากบัตร 2 ปีเป็นบัตร 5 ปี และเพิ่มค่าธรรมเนียมเป็น 500 บาท ยอดรวมจึงเป็น 505 บาท หลังจากชำระเงินก็รอรับใบขับขี่ใหม่ได้เลย

เรื่องที่ต้องรู้ก่อนทำใบขับขี่รถยนต์

  • คุณสมบัติของผู้ที่สามารถทำใบขับขี่รถยนต์ คือต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นผู้พิการและไม่มีโรคประจำตัวที่ทำให้เห็นว่าไม่สามารถขับรถได้ ไม่เป็นคนวิกลจริต และไม่อยู่ระหว่างถูกยึดหรือเพิกถอนใบอนุญาต
  • เอกสารต่อใบขับขี่ 2567 สำหรับผู้ที่ใบขับขี่หมดอายุ ไม่แตกต่างจากผู้ที่ทำใบขับขี่ใหม่ แค่ต้องนำใบขับขี่ที่หมดอายุมาด้วยเท่านั้น
  • สามารถต่ออายุใบขับขี่ล่วงหน้าได้ไม่เกิน 2 เดือน และหากขาดการต่ออายุใบขับขี่เกิน 1 ปีแต่ไม่เกิน 3 ปี ต้องสอบข้อเขียนใหม่ ถ้าเกินกว่านั้นต้องสอบใหม่ทั้งหมด
  • ทำใบขับขี่เตรียมตัวอย่างไร อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้สอบผ่านในรอบเดียว คือการฝึกทำข้อสอบภาคทฤษฎีจากแนวข้อสอบเก่า ฝึกซ้ำหลายๆ รอบจนกว่าจะคุ้นกับคำถามและคำตอบ ซึ่งแนวข้อสอบก็มีให้ในหน้าเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบกอยู่แล้ว 

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

Categories
บทความทั่วไป

รถเก๋งไฟฟ้า ราคา น่าสนใจในไทยที่ที่น่าสนใจมีรุ่น ไหนคุ้มค่า

รถเก๋งไฟฟ้า ราคา

รถเก๋งไฟฟ้าราคาในไทยก็มีให้เลือกพิจารณาหลากหลายยี่ห้อว่ารถเก๋งไฟฟ้ายี่ห้อไหนดีไม่ว่าจะเป็นร ถยนต์ไฟฟ้า ราคา ไม่แพงยี่ห้อจากประเทศจีนอย่างเช่นจากค่าย gwm ora byd neta ที่เป็นรถเก๋งไฟฟ้าราคาไม่แพงที่มีฟังก์ชันครบครันนอกจากนี้แล้วยังมีจากฝั่งยุโรปเช่นออดี้ BMW Mercedes Benz mini Cooper รและ Volvo 

ซึ่งตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในราคาของรถยนต์ซึ่งการซื้อซื้อรถ EV ก็ควรจะรู้ถึงราคารถไฟฟ้าว่ารุ่นไหนมีราคาอย่างไร มีความคุ้มค่าหรือไม่ ตรงต่อภาพลักษณ์ที่เราต้องการหรือไม่

รถเก๋งไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี ที่ควรเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของแต่ละท่าน

ปัจจุบันนี้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นเพราะว่าถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่ทำให้ประหยัดฆ่าเชื้อเพลิงซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีรถลนไฟฟ้าหลายๆยี่ห้อตีตลาดในประเทศไทยรวมถึงรถยนต์ยี่ห้อใหม่ๆ จากประเทศจีนก็มีอยู่หลายยี่ห้อเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ราคาไม่แพง มีดีไซน์สวยออฟชั่นที่น่าสนใจ ตลอดจนยังมีรถยนต์จากค่ายยุโรปที่ให้ความหรูหรา 

ซึ่งนั่นก็แล้วแต่ก็ประมาณการซื้อรถของแต่ละท่านว่ามีจำนวนเท่าไหร่ก็สามารถเลือกได้ตามความต้องการซึ่งวันนี้เราขอแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี 2024 ที่มีราคาไม่แพงเพื่อให้ท่านพิจารณาดูเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของแต่ละท่าน ว่าควรใช้รถยนต์ยี่ห้อไหนมีความเหมาะสมต่อการใช้งานของแต่ละท่านหรือไม่

แนะนำ รถเก๋งไฟฟ้า ราคา ไม่แพง ดีไซน์สวยน่าขับ

ท่ามกลางกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงในปัจจุบันนี้หลายๆ ท่านคงลำบากใจในการเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่ที่ว่าควรจะซื้อยี่ห้อไหนดีซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ซึ่งมี option ดีๆมากมายและยังมีราคาไม่แพงถ้าเปรียบเทียบกับรถยนต์มนปีก่อนหน้านี้ 

ดังนั้นก่อนควรจะเลือกซื้อก็ควรเลือกเปรียบเทียบราคารถยนต์แต่ละยี่ห้อแต่ละคันว่ามี option ที่น่าสนใจอะไรบ้างและมีสมรรถภาพของรถยนต์เป็นอย่างไรคุ้มค่าหรือไม่ดังนั้นเราจึงขอเสนอ 5 รถยนต์ไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี 2024ที่ราคาไม่แพงและคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปว่ามีอะไรบ้าง

รถเก๋งไฟฟ้า ราคา

1: ORA good cat 

มาในราคาไม่ถึง 1 ล้านบาทเพียงแค่ 980,000 บาทเท่านั้น แต่ก็มาในดิขนาดรถที่กว้างขวาง มีขนาดพอๆกับรถยนต์ honda city แต่มีความสูงกว่าหลังคาโปร่งกว่า มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัวแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor มีกำลัง 145 แรงม้า แรงบิดที่ 210 นิวตันเมตร ใช้การขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 152 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

รถเก๋งไฟฟ้า ราคา

2: MG EP  mg 

ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่แพง ซึ่งรุ่นนี้มาในสไตล์รถครอบครัวแบบ 5 ประตูเสนอราคาเพียงแค่ 990,000 บาทในราคาไม่ถึงล้านกับดีไซน์ที่แสนจะหรูหรากับวัสดุที่คงทนมีดีไซน์ที่เรียบหรูมาพร้อมกับมอเตอร์แบบSynchronous Motor มีกำลังสูงสุดที่ 165 แรงม้า  แรงบิดสูงสุดที่ 260 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดที่ 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยใช้อัตราเร่ง 0-100 กมเพียงแค่8 วินาที ในระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและมีระบบเกียร์แบบ single speed

3: Nissan LEAF

นอกเหนือจากรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนแล้วก็ยังมีรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่แพงให้เลือกซื้อซื้อรถ EV จากประเทศญี่ปุ่นอีก 1 ตัวที่น่าสนใจจากค่าย Nissan ซึ่งค่าย Nissan นี้มีประสบการณ์การทำรถยนต์น้ำมันมาอย่างยาวนาน ซึ่งขึ้นชื่อในการใช้วัสดุและมีความคงทนสูง แต่มาในรถไฟฟ้าที่มีมาตรฐานยุโรปในราคาเพียงแค่ 1.4 ล้านบาท มาด้วยดีไซน์ 5 ประตูแบบสปอร์ต ทรงพลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบSynchronous electric Motor รหัส EM57 มีพลังแรงม้าสูงสุดที่150 แรงม้ามีแรงบิดสูงสุดที่ 320 นิวตันเมตร

4: BYD E6

อีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายแดนมังกร ที่มีความน่าสนใจทั้งราคาและการดีไซน์ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบAC Permanent Magnet Synchronous Motor มีกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 70 แรงม้า เพลงบิดสูงสุดที่ 180 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้าแม้ว่าจะมีกำลังแรงม้าน้อยกว่ายี่ห้ออื่น แต่dHทดแทนด้วยการชาร์จ 1 ครั้งสามารถวิ่งได้ถึง 520 กิโลเมตรเลยทีเดียว  รวมถึงห้องโดยสารที่กว้างกว่าและพื้นที่การจัดเก็บสัมภาระภายในรถยนต์ที่ค่อนข้างกว้างกว่ารถยี่ห้ออื่น จึงถือว่าไม่แพ้ยี่ห้อรถยนต์ยี่ห้อค่ายไหนเลย

รถเก๋งไฟฟ้า ราคา

5:  NETA V

รถยนต์ไฟฟ้า NETA V ประมาณใน design แบบ 5 ประตู มีหลังคายกสูงซึ่งถือว่าเป็นการดีไซน์แบบ segment เดียวกับ honda city และ mazda 2และ toyota yaris มีกำลังสูงสุดที่ 95 แรงม้า ชาร์จ 1 ครั้งวิ่งได้ถึง 384 กิโลเมตร อัตราความเร็วสูงสุดอยู่ที่124 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีราคาเพียง มีราคาเพียง 549,000 บาทเท่านั้น

บทสรุปรถยนต์ไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี 2024 ควรซื้อยี่ห้อไหนจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้รถเก๋งไฟฟ้า ราคา ที่เอื้อมถึงจากประเทศจีนก็ไม่ได้ด้อยกว่ารถยนต์จากค่ายในยุโรปหรือค่ายจากประเทศญี่ปุ่นแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้าที่ก้าวหน้า ดังนั้นจึงเป็นข้อดีของท่านผู้ใช้รถยนต์แต่ละคนที่จะได้ใช้รถยนต์ที่มีดีไซน์สวย ทันสมัย ราคาไม่แพง แถมยังประหยัดพลังงาน แต่เหนื่อสิ่งอื่นใดสำหรับการซื้อรถ EV  เลือกรุ่นรถยนต์ไฟฟ้านั้นก็คือ ควรทดลองขับรถยนต์คันนั้นก่อนว่ามีการขับเคลื่อนเป็นอย่างไร เหมาะกับการขับขี่ของแต่ละท่านหรือไม่ เพราะการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้านั้ นก็อาจจะมีความแตกต่างกับการขับขี่จากการใช้รถพลังงานน้ำมันอยู่บ้างดังนั้นจึงไม่ควรลืมทดลองขับให้มีความคุ้นเคย และเลือกรถรุ่นที่พึงพอใจมากที่สุดซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีรถยนต์ไฟฟ้า ราคาไม่แพง ทำให้เลือกได้ว่าควรจะซื้อรถเก๋งยี่ห้อไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี ราคาที่เหมาะสมและมีสมรรถภาพสูงสุดคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

Categories
บทความทั่วไป

รถ JDM คือ อะไร ต่างจากรถทั่วไปหรือไม่

รถ JDM คือ

ในปัจจุบันนี้ใครหลายๆคนในหมู่นักแต่งรถคงเคยได้ยินคำว่าวัดเจดีย์เอ็มกันผ่านหูกันมาบ้างแล้ว ซึ่งในไทยแต่ไม่รู้จักกันว่าเป็นคือรถญี่ปุ่นในตำนานที่เป็นสายรถซิ่งใช้รู้จักกันดี วันนี้เราขออธิบายว่า รถ JDM คือ อะไร แตกต่างกับรถทั่วไปในประเทศไทยหรือไม่

ทำความรู้จักกับ รถ JDM คือ อะไร ดีไหมฟังทางนี้

เรามาเริ่มต้นกันจากคำว่า JDM ย่อมาจาก jdmอะไรซึ่งย่อมาจากคำว่า japanese domestic marketหมายถึงยานยนต์ และชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ที่ผลิตภายใต้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น 

แต่บางแหล่งที่มาก็จะบอกว่า JDM คืออะไรของชิ้นส่วนรถแต่งที่สามารถนำมาประกอบเพิ่มเติมความแรงของรถยนต์ได้แต่ความจริงแล้วรถ JDM นี่คือรถที่ทำตลาดหรือญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถสายรถซิ่งในตำนานเช่น Nissan Skyline GT-R, Honda NSX, Mitsubishi Lancer EVO, Subaru Impreza, Mazda RX-7, Toyota Supra และรุ่นอื่นๆ อีกมากมาย

รถ JDM คือ

ซึ่งรถดักล่าวมีมาตรฐานที่แตกต่างจากประเทศอื่น ดังนั้นซึ่งบางชิ้นส่วนนั้นก็แตกต่างจากการใช้งานในประเทศไทยโดยสิ้นเชิงแต่ชิ้นส่วน JDM ไม่ญี่ปุ่นก็ผลิตภายใต้มาตรฐานและบททดสอบของระบบShakenที่มีความเข้มงวดสูง 

ดังนั้นชิ้นส่วนและรถ JDM จึงมีเทคโนโลยีที่ค่อนข้างจะล้ำสมัยซึ่งบางคนก็บอกว่ามีคุณภาพสูงกว่ามาตรฐานทั่วไปกว่ามีดีไซน์แบบสปอร์ตที่สวยงามและมีความล้ำสมัยกว่ารถยนต์ทั่วไป

ซึ่งทุกวันนี้คำว่ารถ JDM จะใช้เรียกรถพวกสายรถซิ่งในประเทศญี่ปุ่น โดยสรุปขึ้นว่าเป็นการแต่งรถ jdm ที่มีสไตล์เป็นรถสปอร์ตตามมาตรฐานรถซิ่งของในญี่ปุ่นนั่นเอง

มาดูกันรถ JDM มีอะไรบ้าง ซิ่งแค่ไหนบนท้องถนน

เปิดตำนาน 4 เปิดตำนาน 4 จตุรเทพ รถ JDM ที่รู้จักในหมู่นักซิ่งคนไทยเรียกว่าเป็นรถสายซิ่งจากแรงๆอุทิศอุทัยที่ตีตลาดในไทยเป็นขวัญใจของผู้ชื่นชอบสายแต่งรถสายนักซิ่งมาอย่างยาวนานนั่นก็คือMazda RX7 , Toyota Supra , Honda NSX , Nissan Skyline GT-R วั

วันนี้ยังคงเห็นรถดังกล่าวอยู่ในท้องถนนบ้างเพียงเล็กน้อยแต่ถ้าย้อนไปในยุค 90’s แล้วล่ะก็รถพวกนี้ถือว่าเป็นของรักของหวงตลอดจนกลายเป็นของสะสมในปัจจุบันที่ใส่ซึ่งทุกคนต้องมี ซึ่งในปัจจุบันนี้รถยนต์ได้ยี่ห้อดังกล่าวก็สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา 

ในสายอนุรักษ์นิยมที่ย้อนรำลึกความหลังในยุค 90 นั้นก็ตามหาเก็บส่ะสมรถซิ่งจากญี่ปุ่นนี้ในปัจจุบันคนที่มีรถยี่ห้อดังกล่าวเก็บไว้ก็ทำให้มีมูลค่าขึ้น และยิ่งถ้ารถดังกล่าวอยู่ในสภาพดีขับเคลื่อนที่ได้อย่างราบเรียบเหมือนรถใหม่ก็ยิ่งทำราคาได้สูงขึ้น ซึ่งวันนี้เราจึงขอรวบรวมสุดยอด 4 รถ JDM ที่อยู่ในตำนานจากอดีตจนถึงปัจจุบัน

รถ JDM คือ

1: Toyota MR-2 

รถ jdm ในตำนานที่ยังคงความเป็นอมตะ มาในทรายทรงสปอร์ตที่ราวกับหยุดเวลาให้อยู่ในยุค 90 ตลอดไปแต่ถ้านำมาขับบนท้องถนนในปัจจุบันนี้ก็สามารถขับได้อย่างไม่เขินอายว่าเป็นรถเก่าเพราะไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหน้าตาที่ยังคงร่วมสมัยและเครื่องยนต์กันทรงพลังก็สามารถเทียบรุ่นกับรถในปัจจุบันได้อย่างไม่เคอะเขิน

ซึ่งรถคันนี้ได้เริ่มต้นผลิตในปี 1992 และสิ้นสุดในปี 1999 มาในรหัส MR2 ซึ่งย่อมาจากMid-Ship Run About 2 Seater ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังถือว่าเป็นคันแรกของญี่ปุ่นที่เคยมีมkถ้ามองย้อนไปในยุคนั้นรถรุ่นนี้ถือว่าเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันและขับสนุก

โดยที่ปัจจุบันนี้รถ JDM ราคามือสองรุ่นนี้เริ่มต้นอยู่ที่ 4.7แสนถึงราคา 900,000 บาททั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นความรุนแรงของรถและสภาพของรถยนต์

2: Toyota Celica TA180 : 1989-1993 ST185

อีกหนึ่งรถยนต์ในตำนานของค่าย Toyotaซึ่งรถคันนี้ถือว่ามีประหยัดอย่างยาวนานถึง 50 ปีถูกดีไซน์และออกแบบมาเพื่อเอาใจขาซิ่งในยุคนั้นโดยเฉพาะ แต่ในปัจจุบันนี้กลับกลายเป็นรุ่น g4 ที่ตามหากันในปัจจุบัน ซึ่งผลิตออกมาในปี 1992ซึ่งในตอนนั้นได้รับ รางวัลWRC Drivers ‘Championship

แต่ในที่สุดก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อซึ่งมีเครื่องยนต์เทอร์โบ 185มีระบบอินเตอร์คูลเลอร์ให้กำลังสูงสุดถึง 225 แรงม้า

คันนี้ถือว่าเป็นรถ JDM ราคามือสองราคาราว 2 แสนถึง 4 แสนบาทขึ้นอยู่กับสภาพตัวรถ

รถ JDM คือ

3: Honda Prelude Generation 4

อีกหนึ่งรุ่นที่เป็นตำนานของค่าย hondaซึ่งในยุคนั้นรุ่นที่เป็นดาวเด่นที่สุดนั่นก็คือรุ่น prelude g4มาในรูปแบบรถสปอร์ตแบบ compact car ส่งเป็นรถยนต์คันแรกที่เปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้เครื่องยนต์ในสาย vtecแบบหัวฉีด 200 cc133 แรงม้า

แม้ว่าจ้า Honda Prelude จะมาด้วยขุมพลังที่ค่อนข้างแรงแต่ความนิยมกลับไม่ได้อยู่ที่ตรงเครื่องยนต์ กลับมาอยู่ที่ option ต่างๆไม่ว่าจะเป็น cruise controlที่ควมคุมความเร็ว รวมถึงซันรูฟที่เพิ่มความเท่ให้กับตัวรถอีกทั้งยังมีระบบสั่นสะเทือนแยกกันอิสระทั้ง 4 ล้อ และจุดเด่นของรถคันนี้นั่นก็คือระบบเลี้ยว 4 ล้อจึงทำให้มีความคล่องตัวมากกว่ารถอื่นๆในระดับเดียวกัน

รถ honda prelude คันนี้ถือว่าเป็นรถ JDM ราคามือสองอยู่ที่ประมาณ2แสนต้นๆถึง 4 แสนปลายๆแล้วแต่สภาพรถ

4: Mitsubishi Evolution IX

ตำนานรถซิ่งสายปีศาจอันเรื่องชื่อไม่ว่าจะมีฉายาเจ้าจรวดทางเรียบนักเลง 3 เกียร์และฉายาต่างๆที่พูดถึงความทรงพลังของรถรุ่นนี้ซึ่งเปิดตัวมาในปี 1991ที่หนึ่งมีการปรับปรุงโครงสร้างจาก mitsubishi lancer ให้แข็งแกร่งขึ้นและมาด้วยเครื่องยนต์แบบ4 สูบ 2.0 ลิตรให้พละกำลังสูงสุดที่ 250 แรงม้า

หลังจากนั้นรถ Mitsubishi evo รุ่นนี้ก็ออกพัฒนาออกมาหลายรุ่นตั้งแต่ปี1994 จนถึงปี 2016ซึ่งในปัจจุบันนี้มีข่าวคลุมเครือออกมาว่าจะออกรถ Mitsubishi evolution รุ่นXI ก็ได้แต่เราก็ได้แต่ว่าเมื่อไหร่จะเกิดเจ้าปีศาจตัวใหม่ของ mitsubishi evolution

ซึ่งในปัจจุบันนี้รถ mitsubishi รุ่นนี้เป็นรถ JDM ราคา มือสองทะยานแต่ไม่ถึง 1 ล้านกว่าบาทเรียบร้อยแล้ว ซึ่งราคาต่ำสุดในตลาดเท่าที่หาได้ก็คือ 9.4 แสนบาทรับประกันด้วยว่าราคาต่ำกว่านี้ไม่มีแน่นอน

บทสรุป

สำหรับผู้ใจรักรถ JDMในปัจจุบันนี้ยังคงหารถ JDM ได้อยู่ในท้องตลาดต้องถือว่าเป็นคนใจรักรุ่นรถยนต์ใส่ซิ่งรุ่น 90 จริงๆ ซึ่งถือว่าเป็นตำนานเลยทีเดียวช่วงในปัจจุบันนี้ถือว่าหาได้ยากเต็มทีแล้วทำให้ตัวรถยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบรสนี้ก็ต้องมีทั้งใจรักและมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ถึงจะซื้อหามาไว้ในครอบครองได้ตามความชอบ

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023

Categories
บทความทั่วไป

เปรียบเทียบ ราคารถ VOLVO ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่: เคล็ดลับการเลือกซื้อ

ราคารถ VOLVO

Volvo แบรนด์รถยนต์สัญชาติสวีเดน ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย ดีไซน์เรียบหรู และเทคโนโลยีล้ำสมัย หลายคนใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของสักคัน แต่ด้วย ราคารถ VOLVO ที่ค่อนข้างสูง อาจทำให้หลายคนลังเล แต่ไม่ต้องห่วง บทความนี้ จะแนะนำราคารถ VOLVO ไฟฟ้า VOLVO ราคาถูกสุด  VOLVO ตารางราคา และรถ VOLVO รุ่นเก่า ช่วยคุณได้ เปรียบเทียบราคารถ VOLVOแต่ละรุ่น เผื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปท่องโลกแห่ง Volvo กันเลย!

พลังแห่งอนาคต: Volvo กับยุครถไฟฟ้า

ราคารถ VOLVO

เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรง Volvo เองก็ไม่น้อยหน้า เปิดตัวใหม่รถไฟฟ้า 100% หลายรุ่น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานยุคใหม่ รักโลก รักสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบัน มีรถยนต์ไฟฟ้าVOLVO ตารางราคาที่จำหน่ายในประเทศไทย 3 รุ่น ดังนี้

  1. ราคารถ VOLVO ไฟฟ้า XC40 Recharge Pure Electric:
    • ราคา: 2,090,000 บาท (รุ่น Single Motor) / 2,790,000 บาท (รุ่น Twin Motor)
    • มอเตอร์: มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว (รุ่น Single Motor) / 2 ตัว (รุ่น Twin Motor)
    • กำลังแรงม้า: 231 แรงม้า (รุ่น Single Motor) / 408 แรงม้า (รุ่น Twin Motor)
    • แรงบิด: 330 นิวตันเมตร (รุ่น Single Motor) / 660 นิวตันเมตร (รุ่น Twin Motor)
    • ระยะทางวิ่งสูงสุด: 444 กม. (รุ่น Single Motor) / 452 กม. (รุ่น Twin Motor)
  2. ราคารถ VOLVO ไฟฟ้า C40 Recharge Pure Electric:
    • ราคา: 2,190,000 บาท (รุ่น Single Motor) / 2,890,000 บาท (รุ่น Twin Motor)
    • มอเตอร์: มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว (รุ่น Single Motor) / 2 ตัว (รุ่น Twin Motor)
    • กำลังแรงม้า: 231 แรงม้า (รุ่น Single Motor) / 408 แรงม้า (รุ่น Twin Motor)
    • แรงบิด: 330 นิวตันเมตร (รุ่น Single Motor) / 660 นิวตันเมตร (รุ่น Twin Motor)
    • ระยะทางวิ่งสูงสุด: 444 กม. (รุ่น Single Motor) / 452 กม. (รุ่น Twin Motor)
  3. ราคารถ VOLVO ไฟฟ้า EX30:
    • ราคา: 1,590,000 บาท (รุ่น Core Single Motor) / 1,790,000 บาท (รุ่น Ultra Single Motor) / 1,890,000 บาท (รุ่น Ultra Twin Motor)
    • มอเตอร์: มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว (รุ่น Core & Ultra Single Motor) / 2 ตัว (รุ่น Ultra Twin Motor)
    • กำลังแรงม้า: 150 แรงม้า (รุ่น Core Single Motor) / 231 แรงม้า (รุ่น Ultra Single Motor) / 428 แรงม้า (รุ่น Ultra Twin Motor)
    • แรงบิด: 300 นิวตันเมตร (รุ่น Core Single Motor) / 330 นิวตันเมตร (รุ่น Ultra Single Motor) / 543 นิวตันเมตร (รุ่น Ultra Twin Motor)
    • ระยะทางวิ่งสูงสุด: 440 กม. (รุ่น Core Single Motor) / 441 กม. (รุ่น Ultra Single Motor) / 438 กม. (รุ่น Ultra Twin Motor)
  • VOLVO ตารางราคาผ่อนชำระ
    • เงินดาวน์: 25%
    • ระยะเวลาผ่อน: 48 เดือน
    • อัตราดอกเบี้ย: 3%

แล้วราคารถ VOLVO รุ่นไหนที่ถูกที่สุด?

รถ VOLVO รุ่นเก่าก็เป็นตัวเลือก VOLVO ราคาถูกสุดที่น่าสนใจไม่แพ้กัน สภาพดี หาซื้อง่าย อะไหล่หาง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่หัดขับ หรือผู้ที่มองหารถไว้ใช้งานทั่วไป 

VOLVO ตารางราคา มือสองมีดังนี้

  1. VOLVO ราคาถูกสุด คือVolvo 850 (ปี 1993-1997): ซีดาน 5 ประตู ดีไซน์คลาสสิก เครื่องยนต์ 5 สูบ ทนทาน อะไหล่หาง่าย ราคาเริ่มต้นเพียง 2 แสนบาท
  2. Volvo S70 (ปี 1997-2000): ซีดาน 4 ประตู ดีไซน์ทันสมัย เครื่องยนต์ 5 สูบ ขับเคลื่อนล้อหน้า ช่วงล่างนุ่มนวล ราคาเริ่มต้นประมาณ 3 แสนบาท
  3. Volvo V70 (ปี 1997-2000): สเตชั่นแวกอน 5 ประตู พื้นที่เก็บสัมภาระกว้างขวาง เครื่องยนต์ 5 สูบ ทนทาน อะไหล่หาง่าย ราคาเริ่มต้นประมาณ 3 แสนบาท
  4. Volvo S80 (ปี 1999-2006): ซีดานหรู ดีไซน์เรียบหรู เครื่องยนต์ 6 สูบ ขับเคลื่อนล้อหน้า ออพชั่นครบครัน ราคาเริ่มต้นประมาณ 4 แสนบาท
  5. Volvo XC90 (ปี 2003-2014): SUV 7 ที่นั่ง พื้นที่กว้างขวาง เครื่องยนต์ 5 สูบ เทอร์โบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ เหมาะกับครอบครัว ราคาเริ่มต้นประมาณ 6 แสนบาท

อย่างไรก็ตาม การซื้อรถ VOLVO รุ่นเก่า ควรลองเข้าไปอ่านรีวิว จากผู้ใช้จริง พิจารณาค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง และเลือกซื้อให้เหมาะกับการใช้งาน

เทคนิคการซื้อ Volvo คุ้มค่า

การซื้อรถ Volvo ที่คุ้มค่าเริ่มต้นจากการเลือกรุ่นและปีที่ตอบสนองความต้องการของคุณได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นขนาดรถ จำนวนที่นั่ง หรือพื้นที่เก็บสัมภาระ ควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบสเปค ฟังก์ชั่น และราคารถ VOLVOของแต่ละรุ่นเพื่อเลือกที่เหมาะกับงบประมาณและความต้องการของคุณ

ตัดสินใจซื้อรถใหม่หรือมือสอง

การตัดสินใจระหว่างรถใหม่และรถ VOLVO รุ่นเก่าก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ รถใหม่มาพร้อมกับเทคโนโลยีล่าสุดและการรับประกันจากผู้ผลิต ในขณะที่รถมือสองมีราคาที่ถูกกว่าและให้ตัวเลือกในรุ่นปีที่หลากหลาย คุณควรตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

เลือกช่องทางซื้อที่เหมาะสม

เมื่อเลือกรถแล้ว การเลือกช่องทางซื้อที่เหมาะสมก็สำคัญไม่น้อย การซื้อจากตัวแทนจำหน่าย Volvo ให้บริการหลังการขายที่ดีและโปรโมชั่นต่างๆ ในขณะที่การซื้อผ่านเว็บไซต์หรือเต็นท์รถมือสองอาจให้ราคาที่ดีและมีตัวเลือกมากขึ้น

ราคารถ VOLVO

เปรียบเทียบราคาและโปรโมชั่น

การเปรียบเทียบราคารถ VOLVOและโปรโมชั่นจากหลายแหล่งก็เป็นกลยุทธ์ที่ดี รวมถึงการติดตามข่าวสารโปรโมชั่นผ่านเว็บไซต์ของ Volvo หรือหน้า Facebook อย่าลืมพิจารณาค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างค่าประกัน ค่าบำรุงรักษา และค่าภาษี ซึ่งล้วนแต่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของคุณ

ตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด

กรณีซื้อรถราคามือสองและVOLVO ราคาถูกสุด การตรวจสอบเอกสารรถ สภาพตัวถัง เครื่องยนต์ และทดลองขับเป็นขั้นตอนที่จำเป็น การเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจำหน่าย Volvo หรือเต็นท์รถมือสองที่มีชื่อเสียงดี จะช่วยให้คุณได้รับรถที่คุ้มค่าและมีคุณภาพ.

อ่านบทความอื่น ๆ >> BMW XM รถยนต์ SUV พันธุ์ดุ คันใหญ่ ผสานสองขุมพลัง

10 อันดับ ยางรถยนต์ขอบ17 ยี่ห้อไหนดี นุ่มเงียบ ราคาถูก ปี 2023