สินค้า simulator

กิจกรรม

การแข่งขัน

แนะนำอุปกรณ์

ทดลองอุปกรณ์

Categories
ข่าวสาร บทความทั่วไป

BMW S1000RR สุดยอดซุปเปอร์ไบค์พันธุ์ดุราคาหลักล้าน

BMW S1000RR สุดยอดซุปเปอร์ไบค์พันธุ์ดุราคาหลักล้าน

BMW S1000RR
ภาพจาก : 9carthai

BMW S1000RR คือรถมอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์ไบค์ ในคลาสสปอร์ตไบค์ (Sport Bike) หรือรถมอเตอร์ไซค์ที่ออกแบบโดยมีต้นแบบมาจากรถแข่ง ผลงานจากค่าย BMW ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2009 และก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากไบค์เกอร์ทั่วโลก และในครั้งนี้ก็มีเรื่องราวน่าสนใจของรถบิ๊กไบค์รุ่นนี้มาฝากดังต่อไปนี้ 

ทำความรู้จัก BMW S1000RR ให้มากขึ้น

BMW-S-1000-RR
ภาพจาก : 9carthai
2019-bmw-s1000rr
ภาพจาก : motorival
ตั้งแต่เปิดตัว BMW S1000RR ครั้งแรกเมื่อปี 2009 ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็มีการปรับปรุงและปรับโฉมเพื่อความสมบูรณ์แบบของ ซุปเปอร์ไบค์ รุ่นนี้มาตลอด เช่น เมื่อปี 2019 ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ก็มีการปรับโฉมใหม่หมดในชื่อ All New BMW S1000RR ซึ่งถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของ รถมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ โดยการปรับโฉมครั้งล่าสุดได้เน้นจุดเด่นในเรื่องของความแรงและเร็วมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันก็คำนึงถึงการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการขับขี่ปลอดภัยของบรรดาไบค์เกอร์ด้วยเช่นกัน ทั้งการขับขี่ในชีวิตประจำวัน เส้นทางธรรมชาติอย่างในป่า ภูเขา ที่ยากลำบาก ก็สามารถพาไปบุกตะลุยได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจและเกร็ดน่ารู้ของ BMW S1000RR ที่ได้รวบรวมมาฝากในหัวข้อถัดไปนี้

7 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ BMW S1000RR

  1. BMW S1000RR มีโหมด การขับขี่ถึง 4 โหลด คือ Wet การขับขี่บนถนนที่ลื่นหรือตอนฝนตก, Road โหมดการขับขี่บนท้องถนนทั่วไป, Dynamic โหมดที่เน้นการยึดเกาะถนน และ Race คือโหมดการขับขี่เสมือนแข่งขันในสนาม อีกทั้งยังติดตั้งระบบ ABS ป้องกันล้อล็อก ซึ่งแบ่งเป็น 2 โหมดย่อยคือ Race ABS และ ABS Pro เพื่อให้ผู้ขับขี่เลือกปรับเปลี่ยนการควบคุมให้ตรงกับรูปแบบการขับขี่ของตัวเองมากที่สุด
  2. ระบบเครื่องยนต์ในรุ่นปรับโฉมล่าสุดมีการพัฒนา จากเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 999 CC ของรุ่นแรกที่เปิดตัว ก็ได้มีการติดตั้งระบบ Shiftcam เพิ่มเติมเข้าไป ซึ่งจะมีส่วนช่วยทำให้การขับขี่มีความนุ่มนวลและสมูธกว่าแบบเดิม มีพละกำลังความแรงมากขึ้นกว่าเดิม และค่ามาตรฐานไอเสียก็ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด
  3. สมรรถนะเครื่องยนต์กำลังสูงสุดอยู่ที่ 207 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร ช่วยเสริมสมรรถนะในการขับขี่และการเร่งความเร็วได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทุกรูปแบบของท้องถนน โดยมีอัตราความเร็วสูงสุดที่ 299 กม./ชม.
  4. All New BMW S1000RR มี 2 โทนสีให้คนรัก ซุปเปอร์ไบค์ ได้เลือก นั่นคือ สีแดง (Racing Red) ราคา 1,020,000 บาท กับสีน้ำเงิน-ขาว (ight White /Racing Blue Metallic) ราคา 1,050,000 บาท
  5. หน้าปัดเรือนไมล์ของ BMW S1000RR เป็นจอแสดงผล TFT ขนาด 6.5 นิ้ว ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่จำเป็นในการขับขี่ทุกอย่าง สามารถเลอกใข้งานหน้าจอได้ทั้งแบบ Pure Ride Screen หรือ Core Ride Screens แบบสามหน้าจอพร้อมกัน ที่สำคัญคือระบบ Multicontroller เลื่อนหน้าจอขึ้นลงเพื่อใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ที่ต้องการขณะขับขี่ได้โดยไม่ต้องปล่อยมือจากแฮนด์บาร์
  6. โครงสร้างตัวถังของรถซุปเปอร์ไบค์รุ่นนี้เรียกว่า Bridge Type frame ที่มีระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบหัวกลับ จึงทำให้การขับขี่มีความสมูธและคล่องตัว อีกทั้งยังสามารถปรับตั้งค่าของสปริงได้ เพื่อให้รถทรงตัวได้อย่างแข็งแกร่ง มีความบาลานซ์อยู่เสมอและตอบสนองอย่างแม่นยำระหว่างการชับชี่ โดยเฉพาะในระยะทางไกลที่ต้องเดินทางต่อเนื่องเป็นเวลานาน 
  7. ระบบการเคลื่อนที่และล้อรถมีกการกระจายน้ำหนักระหว่างล้อและความสามารถในการรับน้ำหนักที่ได้รับการพัฒนาในรุ่นล่าสุดด้วยระบบที่เรียกว่า Full Floater Pro ที่มีส่วนช่วยเสริมให้สมรรถนะช่วงล่างของล้อหลังมีการทำงานที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม และส่งผลให้การขับขี่มีความปลอดภัยมากขึ้นจากการควบคุมรถและการยึดเกาะถนนที่แม่นยำยิ่งในทุกสภาวะถนนและเส้นทางการขับขี่
  8. นอกจากการพัฒนาด้านสมรรถนะเครื่องยนต์แล้ว BMW ก็ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบเพื่อรองรับสรีระของผู้ขับขี่ด้วย เช่น จุดสัมผัสระหว่างผู้ขับและตัวรถ ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สอดรับกับองศาระหว่างผู้ขับขี่ ระยะของมือจับทั้งสองข้าง เบาะนั่งและที่พักเท้า ให้มีความสมดุลและต้องอยู่ในท่วงท่าที่สบายที่สุดตลอดการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางรูปแบบใดหรือเป็นระยะทางไกลแค่ไหนก็ตาม
BMW-S-1000-RR-3
ภาพจาก : 9carthai
BMW-S-1000-RR
ภาพจาก : 9carthai
Categories
ข่าวสาร บทความทั่วไป

7 รถยนต์ไฟฟ้า ที่น่าสนใจแห่งปี 2021 

7 รถยนต์ไฟฟ้า ที่น่าสนใจแห่งปี 2021 

ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีทางยานยนต์ให้ใช้พลังงานไฟฟ้าได้แบบ 100% หรืออาจจเรียกสั้นๆ ว่า รถยนต์ EV กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้รถทั่วโลกและดูแนวโน้มในอนาคตน่าจะเป็นรถยนต์ที่มาแทนการใช้น้ำมันได้ไม่ยาก เพราะมีข้อดีหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของการลดมลภาวะทางอากาศ เรียกว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปี 2021 นี้ก็มีรถยนต์ไฟฟ้าจากหลายค่ายผู้ผลิต หลายแบรนด์ที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้

แนะนำ รถยนต์ไฟฟ้า ที่น่าสนใจและมาแรงจากค่ายรถยนต์ต่างๆ ในปี 2021

Mazda MX-30

Mazda MX-30
ภาพจาก : blognone

ถือได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของมาสด้าที่ทางค่ายได้พัฒนาขึ้นสำหรับการแข่งขันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มความต้องการรถยนต์ EV มากขึ้น จุดเด่นที่มาสด้านำเสนอก็คือประสิทธิภาพการขับขี่เป็นระยะเวลายาวนานต่อการชาร์จเต็มแต่ละครั้ง เช่น การเดินทางในชีวิตประจำวันสามารถใช้ได้วันละ 50 กิโลเมตร เหมาะกับการใช้งานอย่างขับรถจากบ้านไปที่ทำงาน โดยสามารถชาร์จพลังงานจาก 0-80 % ได้ภายในเวลา 30-40 นาที และมีแผนที่จะเริ่มจำหน่ายในประเทศอังกฤษภายใต้ชื่อ Mazda MX-30 First Edition ตั้งแต่ปี 2021 นี้

Nissan Leaf

Nissan Leaf
ภาพจาก : mthai

สำหรับรถยนต์ EV จากนิสสันรุ่นนี้ เป็นรุ่นแรกๆ ที่มีการจำหน่ายในประเทศไทย ในราคาประมาณ 1,490,000 บาท โดยมีสมรรถนะเด่นๆ คือ ชุดมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังแรงม้าสูงสุดที่ 150 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่ที่สามารถวิ่งได้ไกลประมาณ 311 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง เติมพลังงานไฟฟ้าด้วยการเสียบปลั๊กชาร์จไฟ อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีการขับขี่ใหม่ๆ ที่น่าสนใจนั่นคือ แป้น e-Pedal ที่สามารถเร่งและเบรกได้ในแป้นเดียว แต่อย่างไรก็ตามแป้นเหยียบเบรกปกติก็ยังคงติดตั้งมาให้ด้วยเช่นกัน 

Honda E 2021 

Honda E 2021 
ภาพจาก : thaidriving

รถยนต์ไฟฟ้า จากฮอนด้าที่ล่าสุดเพิ่งจะได้รับรางวัล Most Beautiful Interior 2021 หรือรถที่มีการออกแบบห้องโดยสารภายในได้สวยงามที่สุดจากงาน Festival Automobile International ประเทศฝรั่งเศส ด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์และการขับขี่ รถยนต์รุ่นนี้ก็ออกแบบมาอย่างเรียบง่ายและมีเอกลักษณ์โดดเด่นน่าสนใจสไตล์ฮอนด้า แต่น่าเสียดายที่เมืองไทยจะยังไม่ได้นำเข้ามาจำหน่ายเร็วๆ นี้ ส่วนประเทศที่มีการจำหน่ายแล้วก็ได้แก่ ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ เป็นต้น

BMW i3s

BMW i3s
ภาพจาก : autodeft

เป็น รถยนต์ EV อีกรุ่นที่มีการจำหน่ายในไทยมาระยะหนึ่งแล้ว ปัจจุบันมีราคาประมาณ 2,230,000 บาท ซึ่งความน่าสนใจของรถยนต์จากค่าย BMW รุ่นนี้ก็คือ โครงสร้างตัวถึงที่มีน้ำหนักเบาให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยว ทันสมัย เป็นรถยนต์ประเภทแฮชแบ็คที่มีดีไซน์กะทัดรัดโดดเด่นสะดุดตา ด้านสมรรถนะการขับขี่เป็นระบบ eDrive มอเตอร์ไฟฟ้า สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลที่สุดประมาณ 280 กิโลเมตร ต่อการชาร์จพลังงานเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC อีกทั้งยังมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ = 0 ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของ BMW i3S

Kia Soul EV

Kia Soul EV
ภาพจาก : chademocharge

รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจาก เกียร์ (Kia) ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้ กับรถยนต์ EV 100% ที่เข้ามาทำตลาดในไทยรุ่นนี้ ความโดดเด่นก็คือ กำลังสูงสุดที่ 204 แรงม้า กับระยะทางที่รถวิ่งได้ไกลมากที่สุดประมาณ 452 กิโลเมตร ชาร์จพลังงานเต็ม 1 ครั้ง ด้านรูปโฉมของรถทั้งภายนอกภายในก็ได้รับการออกแบบมาอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ดีไซน์เส้นสายที่โค้งมนเข้ากับตัวรถ ไฟหน้าแบบ Projector Lens และความบันเทิงภายในห้องโดยสารอันหรูหราทันสมัย

Hyundai Ioniq Electric

Hyundai Ioniq Electric
ภาพจาก : electrive

อีกหนึ่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากประเทศเกาหลี มีระบบชาร์จพลังงานไฟฟ้าที่สามารถชาร์จได้ 3 แบบ คือ แบบทริกเกิ้ล(ปลั๊กเสียบตามบ้าน) แบบธรรมดา (Wall Box) และ แบบชาร์จเร็ว (สถานีชาร์จเร็ว) ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ก็มีกำลังสูงสุดที่ 120 แรงม้า และในการชาร์จพลังงานเต็ม 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลที่สุดประมาณ 280 กิโลเมตร เหมาะกับการขับขี่ระยะทางไกลเป็นย่างมาก นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยในการขับขี่ที่ทันสมัย เช่น ควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (Smart Cruise Control)

Mini Electric 

Mini Electric 
ภาพจาก : topgear

ก็คือรถยนต์มินิคูเปอร์ในรูปแบบ รถยนต์ไฟฟ้า หรือมีชื่อรุ่นอีกชื่อหนึ่งว่า MINI Cooper SE  โดดเด่นทั้งการดีไซน์ในสไตล์ของรถมินิที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้านเครื่องยนต์และสมรรถนะการขับขี่ก็ได้รับการพัฒนาโดย BMW Group ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า และในการชาร์จพลังงานเต็ม 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลที่สุดประมาณ 217 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีอัตราเร่งความเร็วจาก 0-60 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 3.9 วินาที เท่านั้น 

Categories
ข่าวสาร รีวิว พรีวิว

5 รถสปอร์ตเปิดประทุนดีไซน์เรียบหรู โฉบเฉี่ยว มีสไตล์

5 รถสปอร์ตเปิดประทุนดีไซน์เรียบหรู โฉบเฉี่ยว มีสไตล์

รถสปอร์ต เรียกว่าเป็นรถยนต์ในฝันของใครหลายคนอยู่แล้ว เพราะความโดดเด่นเรื่องของสมรรถนะการขับขี่และรูปลักษณ์ที่ความหรูหรา โฉบเฉี่ยว มีสไตล์เฉพาะตัวที่ดึงดูดความสนใจของแต่ละค่ายรถยนต์ที่ต่างกัน โดยเฉพาะใครที่ชอบรถเปิดประทุนเน่ๆ หรือ รถยนต์โรดสเตอร์  (Roadster) ครั้งนี้ก็มีเรื่องราวของรถยนต์ประเภทนี้มาฝาก ดังต่อไปนี้

รถยนต์โรดสเตอร์ (Roadster) คืออะไร? ทำความรู้จักให้มากขึ้น

รถยนต์โรดสเตอร์ (Roadster) คือชื่อเรียกของรถยนต์ประเภทหนึ่ง ลักษณะเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่ง และมีส่วนของหลังที่สามารถเปิดได้ ไม่ว่าจะเป็นหลังคาแข็งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์หรือหลังคาผ้าแบบอ่อนที่พับเก็บได้ รูปลักษณ์ทั่วไปในภาพรวมก็คล้ายกับรถยนต์ซีดาน แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างขัดเจนนอกจากหลังคาเปิดประทุนและขนาดที่มี 2 ที่นั่งก็คือ สมรรถนะของรถยนต์และการใช้งานขับขี่ที่เน้นความเร็ว เหมาะกับการเดินทางตามเส้นทางนอกเมือง เช่น ทะเล ป่า ภูเขา ซึ่งเหมาะกับการเปิดหลังคาสัมผัสความอิสระและบรรยากาศธรรมชาติได้เต็มที่ อย่างเช่น รถสปอร์ตในฝัน ทั้ง 5 รุ่น 5 สไตล์ที่จะแนะนำต่อไปนี้ จะมีรุ่นไหนบ้างไปติดตามกันเลย

รถสปอร์ต 5 รุ่นมาแรงกับดีไซน์โดดเด่น มีสไตล์

Mazda MX-5 RF 2020

Mazda MX-5 RF 2020
ภาพจาก : car.kapook

เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนจากมาสด้าที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2019 ในโอกาสฉลองครบรอบ 30 ปี และในปี 2020 ที่ผ่านมาซึ่งก้าวเข้าสู่ปีที่ 31 จึงได้มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนบางจุดภายใต้ชื่อ Mazda MX-5 RF 2020 โดยมีคุณลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นสไตล์มาสด้าและสามารถตอบสนองความต้องการของคนชื่นชอบรถเปิดประทุนในรูปแบบ รถยนต์โรดสเตอร์ ได้อย่างน่าสนใจในราคาจับต้องได้ จนถึงกับเป็นรถรุ่นที่ทำยอดขายดีที่สุดทั่วโลก สำหรับดีไซน์ใหม่ปี 2020 ก็มีการดีไซน์ภายในห้องโดยสารใหม่หมด ในขณะที่รูปโฉมภายนอกก็มีแรงบันดาลใจมาจากรถยนต์สไตล์อังกฤษในยุค 50-60s ที่ให้ความรู้สึกคลาสสิก

Audi TT Roadster

Audi TT Roadster
ภาพจาก : heycar

เป็นรถเปิดประทุนจาก Audi ค่ายรถยนต์จากเยอร์มันซึ่งได้รับความนิยมมากตั้งแต่เปิดตัวในตลาดรถสอปร์ตเปิดหลังคาสองที่นั่ง โดยรุ่นล่าสุดนี้เป็นการปรับโฉมในเจนเนอเรชั่นที่ 3 แล้ว โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบรูปโฉมทั้งภายนอกภายในสไตล์มินิมอล ห้องโดยสารดีไซน์เรียบหรูด้วยวัสดุระดับพรีเมียม ขณะที่สมรรถนะการขับขี่ก็มีอัตรากำลังถึงแรงถึง 230 แรงม้า และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 5.3 วินาที อีกทั้งยังทำความเร็วสูงสุดได้ราวๆ  250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

BMW Z4 

BMW Z4 
ภาพจาก : thairath

รถสปอร์ตเปิดประทุนสุดคลาสสิกจาก BMW ที่มีดีไซน์โฉมใหม่โฉบเฉี่ยวยิ่งกว่าในรุ่นล่าสุด All New BMW Z4 โดยได้ผสมผสานการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกให้โลดเล่นบนท้องถนนได้อย่างโดดเด่น อีกทั้งบรรยากาศภายในห้องโดยสารสุดหรูหราเต็มไปด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้เพลิดเพลินตลอดการเดินทางภายใต้แนวคิดความคล่องตัวและการขับขี่ได้อย่างเต็มสมรรถนะ ด้านหลังคาผ้าใบก็ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า มีระบบเปิดปิดง่ายๆ แค่เพียงปลายนิ้วสัมผัสในเวลา 10 วินาที ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ก็ให้กำลังสูงสุด 387 แรงม้า พร้อมความเร็วเต็มสปีดด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.1 วินาที

Porsche 718 Boxster GTS 4.0

Porsche 718 Boxster GTS 4.0
ภาพจาก : motorauthority

หนึ่งในแบรนด์รถสปอร์ตสุดหรูจากเยอรมันที่เรียกว่าเป็นรถในฝันของคนรักรถสปอร์ตจำนวนไม่น้อย สำหรับโรดสเตอร์รุ่นนี้ ก็มีความโดดเด่นตั้งแต่รูปโฉมภายนอกไปจนถึงการออกแบบห้องโดยสารภายใน โดยเฉพาะการออกแบบแผงคอนโซลที่หรูหราและเต็มไปด้วยฟังก์ชันการใช้งานทันสมัยพร้อมกับจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว และมีการพัฒนาระบบเครื่องยนต์ 6 สูบ 4,000 ซีซี ไร้ระบบอัดอากาศ ทำให้มีกำลังถึง 400 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม. ภายใน 4.5 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 293 กม./ชม. 

Mercedes-AMG GT C Roadster

Mercedes-AMG GT C Roadster
ภาพจาก : autodeft

รถยนต์โรดสเตอร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรถแข่งในสนามผสมผสานกับความหรูหราคลาสสิกสไตล์เมอร์เซเดส และได้ชื่อว่าเป็นโรดสเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงสุดของค่าย มีดีไซน์โดดเด่น หรูหรา ทันสมัยทั้งรูปโฉมภายนอกและภายในห้องโดยสาร เช่น การใช้เบาะผู้ขับแบบสปอร์ตหุ้มหนังนัปปา (Nappa) โอบล้อมตัวผู้ขับเหมือนกำลังขับรถแข่งอีกทั้งยังนั่งสบาย มีมุมมองการขับขี่ดี สามารถขับรถทางไกลได้โดยไม่รู้สึกล้าเกินไป ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ ประกอบด้วย เครื่องยนต์อัตรากำลัง 557 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม. ภายใน 307 วินาที และมีท็อปสปีดอยู่ที่ 316 กม./ชม.

Categories
ข่าวสาร รีวิว พรีวิว

5 บิ๊กไบค์ สไตล์วินเทจ เสน่ห์สองล้อสุดคลาสสิก

5 บิ๊กไบค์ สไตล์วินเทจ เสน่ห์สองล้อสุดคลาสสิก 

รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ (Bigbike) เป็นยานยนต์สองล้อ ที่มีความโดดเด่นในหลายๆ ด้าน และมีการออกแบบรูปโฉมที่ให้ความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความเท่ ดุดัน สวยงาม และมีสมรรถนะที่แรง เร็ว สำหรับคนรักการขับขี่อย่างอิสระหรือที่เรียกกันว่า ไบค์เกอร์ และในความหลากหลายของการออกแบบก็มีหนึ่งรูปแบบที่จะมาแนะนำนั่นคือบิ๊กไบค์สไตล์วินเทจ ที่ให้ความรู้สึกคลาสสิก ดังรายละเอียดต่อไปนี้

บิ๊กไบค์ สไตล์วินเทจ มีจุดเด่นและความน่าสนใจอย่างไร

ด้วยเหตุผลที่ว่ารถมอเตอร์ไซค์เป็นหนึ่งในยานพาหนะยอดนิยมที่มีมายาวนานนับร้อยปี จึงมีวิวัฒนการด้านการออกแบบกับดีไซน์ที่โดดเด่นตามยุคสมัยมาตลอดรวมทั้งบิ๊กไบค์ ด้วยเช่นกัน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่บ่อยครั้งที่การออกแบบก็มักจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากมอเตอร์ไซค์ในสมัยอดีต ตั้งไบค์เกอร์รุ่นคุณพ่อยังหนุ่ม เรียกว่าเป็นความคลาสสิกเหนือกาลเวลาที่คนรุ่นใหม่อยากเป็นเจ้าของ อย่างเช่น 5 รุ่น ที่นำมาฝากดังต่อไปนี้

แนะนำ 5 บิ๊กไบค์ สไตล์วินเทจ ที่ไบค์เกอร์ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของ

Kawasaki Z900RS

z900rs
ภาพจาก : realmotosports

บิ๊กไบค์ สไตล์วินเทจจากคาวาซากิ ซึ่งมีต้นแบบมาจาก Kawasaki ZI กับการดีไซน์ผสมผสานความทันสมัยได้อย่างลงตัว และค่อนข้างได้รับความสนใจมากจากคนรักรถมเตอร์ไซค์มีผู้คนให้ความสนใจ ทั้งรูปลักษณ์สุดคลาสสิกแต่ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีเครื่องยนต์ การขับขี่พร้อมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ของรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ก็เป็นระบบที่ทันสมัย เช่น  หน้าปัดแสดงระยะไมล์แบบอนาล็อกผสานกับจอแอลซีดี (LCD) แบบมัลติฟังก์ชั่น เรียกว่าเป็นสไตล์ที่ตอบโจทย์ความชอบมอเตอร์ไซต์ดีไซน์ย้อนยุคของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี 

GPX Racing Legend 200

GPX Racing Legend 200
ภาพจาก : thairath

รถมอเตอร์ไซค์ที่ออกแบบในสไตล์คาเฟ่ เรเซอร์ (Cafe Racer) กับความโดดเด่นของการออกแบบผสมผสานบรรยากาศย้อนยุคที่น่าจะโดนใจ ไบค์เกอร์ เป็นอย่างยิ่ง โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ ไฟหน้าทรงกลมสไตล์วินเทจทำจากวัสดุแฮโลเจน ( Halogen) และไฟหลังแบบแอลอีดี (LED) มีสติ๊กเกอร์ลคาดถังแบบทูโทน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสไตล์ คาเฟ่ เรเซอร์ โดยเฉพาะอีกทั้งมีเฉดสีให้เลือกตามความชอบได้แก่ สีเหลือง สีฟ้าและสีดำ ด้านระบบการขับขี่ก็เป็นรถมอเตอร์ไซค์สตาร์ทมือพร้อมกับแฮนด์จับโช้คที่จับได้กระชับมือ ช่วยให้ควบคุมการขับขี่ได้ง่ายขึ้น คอนโทรลความเร็วได้อย่างเร้าใจ ขณะที่ส่วนของหน้าปัดเรือนไมล์ก็เป็นทรงกลมแบบผสมผสานทั้งอนาล็อกกับดิจิตอลที่มีการแสดงข้อมูลต่าง ๆ ขณะขับขี่อย่างครบถ้วน

Ducati Scrambler Sixty2

Ducati Scrambler Sixty2
ภาพจาก : forums.chiangraifocus

บิ๊กไบค์ สไตล์ย้อนยุคอีกหนึ่งรุ่นจากดูคาติ ที่ต้องบอกว่ามีดีไซน์คลาสสิกและมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่น่าสนใจในทุกๆ รายละเอียด เช่น การออกแบบให้ตัวถังมีความโดดเด่นด้วยสีส้มดำสุดพร้อมชุดตกแต่งเฟรมดำกับเบาะนั่งสีดำ ไฟหน้าและเรือนไมล์เป็นรูปทรงกลมแบบวินเทจรวมทั้งการใช้เครื่องยนต์ที่ไม่มีระบบไฟฟ้าที่บ่งบอกถึงความย้อนยุคอันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง แล้วก็ยังมีการเพ้นท์ลายที่ถังน้ำมันซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมของรถมอเตอร์ไซค์ในอดีตแต่ในขณะเดียวกันก็มีสมรรถนะการขับขี่ที่แรง เร็ว พร้อมระบบความปลอดภัยที่ไม่เป็นรองใครเช่นกัน นอกจากสีส้มดำแล้วก็ยังมีโทนสีดำกับสีฟ้าให้เลือกด้วย 

Triumph Bonneville T100

Triumph Bonneville T100
ภาพจาก : pinterest

Triumph เป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ยักษ์ใหญ่จากประเทศอังกฤษที่มีชื่อเสียงมายาวนานและบิ๊กไบค์ สไตล์วินเทจ รุ่น Bonneville T100 ก็ได้ชื่อว่าเป็นโมเดลยอดนิยมที่สร้างทั้งชื่อเสียง รายได้ ให้กับไทรอัมพ์อย่างมหาศาลได้เป็นอย่างมากความน่าสนใจของรถมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้คือดีไซน์ในสไตล์เรโทร คลาสสิก (Retro Classic) ยุค 60s เช่น ไฟหน้าขนาดใหญ่ พร้อมเฟรมที่แข็งแรงทนทาน หน้าปัดเรือนไมล์แบบอนาล็อก ขณะที่ตัวถังของรถก็มีการออกแบบให้ดูทรงพลัง น่าเกรงขาม เบาะนั่งทำจากวัสดุหนังแท้เพื่อความนุ่มสบายของไบค์เกอร์และผู้ซ้อนท้าย นอกจากนี้ก็ยังเป็นรถรุ่นประหยัดพลังงานซึ่งเหมาะกับการใช้งานขับชี่ในยุคนี้

BMW R9T

BMW R9T
ภาพจาก : bigbike

บิ๊กไบค์ จาก BMW ที่ใครหลายคนฝันอยากเป็นเจ้าของ สำหรับรุ่น R9T ก็มีการออกแบบภายใต้แนวคิดการขับขี่เพื่ออรรถรส ชมทิวทัศน์รอบตัวอย่างอิสระ เสน่ห์ของการออกแบบรถมอเตอร์ไซค์วินเทจรุนนี้ก็คือ ดีไซน์สปอร์ต คลาสสิก (Sport Classic) ที่มีทั้งรูปโฉมที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคผสมผสานกับเทคโนโลยีการขับขี่ใหม่ๆ อันทันสมัย มีให้เลือก 2 สี คือสีขาวและสีดำ ตัวถังขนาดใหญ่ส่วนช่วงท้ายขนาดเล็ก ที่สำคัญอีกอย่างคือ งานประกอบวัสดุทั้งคันจากอลูมิเนียมเกรดพรีเมียมแบบเรียบหรู ดูแพง ตามสไตล์การออกแบบของ BMW

Categories
ข่าวสาร บทความทั่วไป รีวิว พรีวิว

 McLaren 720S สุดยอดซุปเปอร์คาร์ของคนรักความเร็ว

 McLaren 720S สุดยอดซุปเปอร์คาร์ของคนรักความเร็ว

McLaren-720
ภาพจาก : grandprix

McLaren 720S หรือ “แม็คลาเรน” รุ่น 720S คือรถสปอร์ตสัญชาติอังกฤษที่ได้มีการนำเทคโนโลยีต่างๆ จากรถแข่งฟอร์มูลาวันเข้ามาใช้เป็นฐานในการผลิตเพื่อความแรงและเร็วแต่ในขณะเดียวกันก็สามารถนำไปขับขี่บนท้องถนนทั่วไปได้โดยมีทั้งรูปลักษณ์แบบคูเป้และโรสเตอร์ ซึ่งในครั้งนี้ก็จะพาไปทำความรู้จักกับรถยนต์รุ่นนี้ที่เป็นรถในฝันของใครหลายคนในแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

สมรรถนะและความโดดเด่นของ McLaren 720S

McLaren 720S เป็นสปอร์ตคาร์รุ่นที่พัฒนาขึ้นเพื่อแทนแม็คลาเรนรุ่น 650S เปิดตัวในงานเจนีวามอเตอร์โชว์เมื่อวันที่ 7มีนาคม ปีค.ศ. 2017 สร้างขึ้นจากคาร์บอนโมโนโคค (Monocage) ที่มีน้ำหนักเบาและแข็งแรงมากขึ้น ตัวถังได้รับการออกแบบบเพื่อความลู่ลมมากกว่ารุ่น 650S อีกทั้งสปอยเลอร์ด้านหลังรูปร่างคล้ายปีกที่สามารถยกตัวอัตโนมัติได้สามระดับตามความเร็ว ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มอัตราความลู่ลมแล้วและเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรคได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้น

ประสิทธิภาพในการเบรกที่ดังกล่าว ส่งผลให้แม็คลาเรนรุ่นนี้ เบรคจากความเร็วจาก 200 กม./ชม. มาหยุดนิ่งทันทีภายในเวลาเพียง 4.6 วินาที กำลังเครื่องแรงถึง 720 แรงม้า และในส่วนของสมรรถนะความเร็ว สามารถเร่งความเร็วไปที่ 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.8 วินาที และสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 341 กม. / ชม.  ยังมาพร้อมกับ Variable Drift Mode ซึ่งควบคุมการควบคุมเสถียรภาพเพื่อช่วยในการดริฟท์รถ

ภายในห้องโดยสารก็ได้รับการออกแบบอย่างหรูหรามีระดับด้วยวัสดุหนังแท้และชิ้นส่วนอะลูมิเนียมคุณภาพเยี่ยม บวกกับแผงคอนโซลทรงตั้งและเทคโนโลยีจอแสดงผลแบบ Folding Driver Display ที่มีฟังก์ชันพับเก็บได้แต่ยังแสดงข้อมูลที่จำเป็นซึ่งช่วยเพิ่มทัศนวิสัยขณะขับขี่ให้มีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย

McLaren-720S
ภาพจาก : grandprix

McLaren 720S รุ่นพิเศษ Special Edition

ตั้งแต่เปิดตัว  McLaren 720S ในปี 2017 เป็นต้นมา หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนารถสปอร์ตในซีรีส์เดียวกันเป็นรุ่นพิเศษหรือ Special Edition ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น

McLaren 720S Le Mans Special Edition รุ่นนี้ผลิตขึ้นเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองชัยชนะในการแข่งขันรายการ Le Mans ของรถแข่งฟอร์มูล่าวัน (F1) GTR เมื่อปี 1995 ความพิเศษคือ หมายเลขตัวถังของรถสปอร์ตรุ่นนี้จะเริ่มต้นด้วย ด้วย 298 ซึ่งเป็นจำนวนรอบที่รถแข่ง F1 GTR ทำได้ในการแข่งขันครั้งนั้นนั่นเอง โดยจำกัดจำนวนการผลิตเพียง 50 คันทั่วโลก โดยและมีให้เลือก 2 สี คือ สีส้ม McLaren Orange และสีเทา Sarthe Grey

McLaren 720S Spider เปิดตัวในเดือนธันวาคมปี 2018 ในรูปลักษณ์แบบซุปเปอร์คาร์เปิดประทุน ตัวถังโรสเตอร์ และยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาวัสดุตัวถังให้มีน้ำหนักเบาขึ้น ส่วนของหลังคาทำจากคาร์บอนไฟเบอร์บวกกับเทคโนโลยี Electrochromic Glass ที่ทำให้หลังคากระจกสามารถปรับระดับแสงที่ส่องผ่านได้แบบอัตโนมัติและใช้เวลาในการเปิด-ปิดราวๆ 11 วินาที เท่านั้น โดยรวมแล้ว ความโดดเด่นจะอยู่ที่รูปทรงที่ดูโฉบเฉี่ยว ทันสมัย และทำความเร็วสูงสุดขณะเปิดหลังคาที่ 325 กม./ชม.

McLaren 720S GT3 เปิดตัวครั้งแรกที่งาน Pebble Beach Concours d’Elegance ปี 2018 สำหรับรุ่นนี้ได้มีการพัฒนาด้านวัสดุและเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า Chassis Carbon Fiber ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งความแข็งแกร่งสูงและในขณะเดียวกันก็มีน้ำหนักเบาภายใต้รูปลักษณ์แบบรถสปอร์ตสุดหรูทั้งภายนอกภายใน อีกทั้งยังมีการยกระดับสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ชื่อว่า Race-Prepared Version สำหรับคนที่ชอบความเร็วเสมือนได้ขับรถในสนามแข่งพร้อมทั้งสามารถขับขี่บนเส้นทางปกติทั่วไปได้ด้วย

McLaren 765LT เปิดตัวเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2020 เป็นรุ่นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในด้านการพัฒนาสมรรถนะทุกๆ ด้านจากโครงสร้างของ 720S ตั้งแต่ น้ำหนักที่เบากว่า McLaren 720S ถึง 80 กิโลกรัม ส่งผลให้ความเร็วและแรงของสปอร์ตคาร์รุ่นนี้ สามารถทำอัตราเร่ง จาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดของรถก็อยู่ที่ 330 กม./ชม. และเนื่องจากเป็นรุ่น Special Edition จึงจำกัดจำนวนผลิตและจำหน่ายทั่วโลกแค่ 765 คันเท่านั้น

และนี่ก็คือความน่าสนใจของ McLaren 720S ซุปเปอร์คาร์เจ้าแห่งความเร็วที่มีสไตล์เฉพาะตัวอย่างหนึ่งก็คือ การนำเทคโนโลยีที่ใช้กับรถแข่งฟอร์มูล่าวันมาพัฒนารถยนต์รุ่นต่างๆ เหล่านี้ ให้คนรักรถและรักความเร็วมีโอกาสได้สัมผัสกับซุปเปอร์คาร์ที่โดดเด่นด้านสมรรถนะความเร็วบนท้องถนนอย่างเร้าใจ

Categories
ข่าวสาร รีวิว พรีวิว

เปิด 5 อันดับรถตู้ผู้บริหารสุดพรีเมียม 2021

เปิด 5 อันดับรถตู้ผู้บริหารสุดพรีเมียม 2021

               ต้องบอกก่อนว่ารถนั้นมีผลต่อภาพลักษณ์ของเราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่ในระดับสูง ๆ อย่างผู้บริหาร นักธุรกิจระดับสูง จะไม่ค่อยนิยมใช้รถทั่วไป แต่จะใช้เป็นรถอเนกประสงค์แทน และรถเหล่านั้นจะต้องเป็นรถ MVP โดยผู้บริหารส่วนใหญ่จะใช้รถประเภทนี้ในการเดินทาง เพื่อเสริมภาพลักษณ์ให้ดูน่าเชื่อถือ และรถคันนั้นจะต้องตอบโจทย์การใช้งานด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาเปิด 5 อันดับรถตู้ผู้บริหารสุดพรีเมียม ในปี 2021 เป็นรถที่มาพร้อมกับการดีไซน์ที่สวยหรู ดูทันสมัย สะดวกสบายเมื่อใช้งาน จะมีรถรุ่นใดบ้างนั้นมาชมกันเลย

เปิด 5 อันดับรถตู้ผู้บริหารสุดพรีเมียม 2021

5.NISSAN NV300 MINORCHANGE

               NISSAN NV300 MINORCHANGE ที่มาพร้อมกับการปรับปรุงใหม่ทั้งภายนอกและภายใน เสริมด้วยขุมพลังดีเซลที่ผ่านมาตรฐาน EURO 6 และยังมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อยู่หลายรายการ สำหรับรายละเอียดของภายนอกของรถรุ่นนี้ จะมาพร้อมกับการดีไซน์ด้านหน้าใหม่ เหมือน NISSAN NAVARA อย่างกระจังหน้าที่เป็นแบบ INTERLOCK และไฟหน้าแบบ LED พร้อม DAYTIME RUNNING LIGHT เฉพาะรุ่น เสริมด้วยล้อ ALLOY 17 นิ้ว ในส่วนของห้องโดยสารนั้นจะมีให้เลือกทั้งรุ่น 5 ที่นั่ง 6 ที่นั่ง 8 ที่นั่ง และ 9 ที่นั่ง DASHBOARD แบบใหม่ ตกแต่งโครเมียมและสีดำ DARK CARBON ส่วนช่องเก็บของจะมีความจุกว่า 88 ลิตร ปิดท้ายด้วยหน้าจอสัมผัสทัชสกินขนาด 8 นิ้ว พร้อมกับระบบการเชื่อมต่อของ NISSAN CONNECT ส่วนเรื่องขุมพลังนั้นจะเป็นเครื่องยนต์ DCI ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบแปรผัน มีให้เลือกความแรงหลายระดับตั้งแต่ 110 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 150 แรงม้า เกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติ และ 170 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ และแรงบิดสูงสุดจะอยู่ที่ 380 นิวตัน-เมตร ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS จะประกอบไปด้วย ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา ระบบแจ้งเตือนรถยนต์ออกนอกช่องจราจร ระบบจดจำป้ายจราจร และระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมแจ้งเตือนให้เว้นระยะห่าง สำหรับ NISSAN NV300 MINORCHANGE ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2021 จะเริ่มออกจำหน่ายทั่วยุโรป ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2021 เป็นต้นไป

4.TOYOTA HIACE

               TOYOTA HIACE เป็นรถตู้ทรงหลังคาเตี้ย 12 ที่นั่ง เครื่องยนต์รุ่น 1GD-FTV 4 สูบ แถวเรียง DOUBLE OVERHEAD CAMSHAFT 16 วาล์ว เทอร์โบแปรผัน INTERCOOLER ความจุกระบอกสูบ 2,755 CC ระบบจ่ายน้ำเชื้อเพลิงหัวฉีด DIRECT INJECTION แบบ COMMON RAIL ให้กำลังสูงสุด 130 กิโลวัตต์ 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-2,600 รอบ/นาที ชนิดเชื้อเพลิงคือดีเซล มีความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 70 ลิตร สำหรับรุ่นนี้จะเป็นล้อกระทะพร้อมฝาครอบ ขนาดของยางจะอยู่ที่ 215/70R16C ระบบเบรก ด้านหน้าจะเป็นระบบ DISC BRAKE พร้อมคีบระบายความร้อน ส่วนระบบเบรกด้านหลังจะเป็นแบบ DUMP BRAKE และในส่วนของระบบความปลอดภัยของรุ่นนี้จะมีโครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA มีถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS 2 ตำแหน่งคู่หน้า ซึ่งจะอยู่ในบริเวณผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า และระบบเบรก ABS ส่วนระบบควบคุมการทรงตัวนั้นจะเป็นแบบ VSC มาพร้อมกับระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันแบบ HAC ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบควบคุมเฟืองท้าย LSD และมีระบบไฟเบรกดวงที่สามพร้อมกับระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกระทันหันแบบ ESS กระจกมองข้ามจะเป็นสีดำ โดยตัวรถมีความยาว 5,265 มิลลิเมตร และมีความกว้าง 1,950 มิลลิเมตร สูง 1,990 มิลลิเมตร สำหรับราคาของรถรุ่นนี้จะอยู่ที่ 1,085,000 บาท

3.MG V80

               MG V80 PASSENGER VAN สไตล์ยุโรป มาพร้อมกับการดีไซน์ที่เรียบหรู ดูแพง เป็นรถตู้พรีเมียมที่มีทั้งหมด 11 ที่นั่ง ภายในห้องโดยสารนั้นจะมีขนาดที่กว้างขวาง พร้อมกับประตูสไลด์ 2 ด้าน และมีบันไดไฟฟ้า 2 ข้าง ในส่วนของประตูท้ายจะเป็นบานคู่แบบเปิดได้ 2 ระดับ ทั้ง 90 และ 180 องศา อีกทั้งยังมีระบบสร้างความปลอดภัยถึง 7 ระบบด้วยกัน ใน ESP มาตรฐานยุโรป MG V80 จะขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 136 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุดที่ 330 นิวตัน-เมตร ซึ่งจะทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ 6 SPEED  SELEMATIC ที่ปรับเปลี่ยนโหมดได้ มีจำนวนทั้งหมด 2 รุ่นย่อย

  • MG V80 2.5L MT ราคาอยู่ที่ 988,000 บาท
  • MG V80 2.5L Selemetic ราคาอยู่ที่ 1,038,000 บาท

2.KIA GRAND CARNIVAL

                KIA GRAND CARNIVAL รถตู้ MPV สุดพรีเมียม ที่จะตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่ ซึ่งมีทั้งหมด 11 ที่นั่ง ในส่วนภายในจะติดตั้งฟังก์ชันที่อำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ระบบปรับอากาศให้บริสุทธิ์ จอสัมผัส TOUCH SKIN ที่มีขนาด 8 นิ้ว และรองรับด้วย APPLE CAR PLAY และ ANDROID AUTO, จอ PERSONAL ENTERTAINMENT TABLET, WIRELESS CHARGER และอื่น ๆ อีก และมาพร้อมกับระบบความปลอดภัย เช่น CRUISE CONTROL, RCTA, HAC เป็นต้น มาในส่วนของเครื่องยนต์ของ KIA GRAND CARNIVAL จะใช้เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 197 แรงม้า และมีแรงบิดที่ 441 นิวตัน-เมตร มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ

1.HYUNDAI GRAND STAREX

                HYUNDAI GRAND STAREX 2020 อีกหนึ่งรถตู้สุดพรีเมี่ยม ที่มากับการรองรับผู้โดยสารได้ทั้งหมด 7 ที่นั่ง โดยดีไซน์ออกมาอย่างหรูหรา สุดพิเศษ และมาพร้อมกับเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก อย่างที่ชาร์จไร้สาย เบาะไฟฟ้า ประตูสไลด์เป็นระบบไฟฟ้า และอื่น ๆ อีก ในส่วนของระบบความปลอดภัยนั่นก็ได้จัดมาให้อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ระบบควบคุมเสถียรภาพ รวมไปถึงกล้องมองภาพรอบทิศทาง ในส่วนของขุมพลังของเครื่องยนต์นั้น จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ที่มีขนาด 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 175 แรงม้า และมีแรงบิดที่ 441 นิวตัน-เมตร มีจำนวนทั้งหมด 2 รุ่น

  • HYUNDAI GRAND STAREX 2020 - 2021 รุ่น PREMIUM ราคาอยู่ที่ 2,349,000 บาท
  • HYUNDAI GRAND STAREX 2020 - 2021 รุ่น รุ่น VIP ราคาอยู่ที่ 2,399,000 บาท
Categories
ข่าวสาร รีวิว พรีวิว

แนะนำ 5 อันดับอีโคคาร์เริ่มต้นที่ 400,000 บาท 2021

แนะนำ 5 อันดับอีโคคาร์เริ่มต้นที่ 400,000 บาท 2021

               รถยนต์อีโคคาร์ (ECO CAR) มาจากคำว่า ECOLOGY CAR ซึ่งหมายถึงรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แน่นอนว่ามันเป็นรถที่ประหยัดพลังงาน โดยมีการปล่อยมลพิษออกมาน้อยกว่ารถยนต์ประเภทอื่น มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งได้มีการนำพลังงานไฟฟ้ามาใช่ร่วมกับเครื่องยนต์ด้วย และก่อนที่จะเป็นอีโคคาร์ให้คนได้ขับนั้นจะต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานหลาย ๆ อย่างก่อน และในประเทศไทยของเรามีข้อกำหนดเกี่ยวกับรถยนต์อีโคคาร์ว่าถ้ารถยนต์รุ่นใดที่ผ่านมาตรฐานทั้งหมดแล้ว จะมีการลดภาษีสรรพสามิตรให้ด้วย ด้วยเหตุนี้เองทำให้รถยนต์ประเภทนี้มีราคาที่ประหยัดกว่ารถประเภทอื่น ๆ เพราะฉะนั้นเราจะมาแนะนำ 5 อันดับอีโคคาร์ ที่มีราคาเริ่มต้นที่ 400,000 บาท ในปี 2021 จะมีรถแบรนด์ไหน รุ่นใดบ้างนั้น ไปดูกันเลย

แนะนำ 5 อันดับอีโคคาร์เริ่มต้นที่ 400,000 บาท

1.SUZUKI CELERIO

               ค่ายรถสัญชาติญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลก ก็ได้ส่ง SUZUKI CELERIO ซึ่งเปิดตัวในไทยในงาน AUTO EXPO รถยนต์ขนาดเล็กคอมแพ็คคาร์ให้เราได้สัมผัส ด้วยความที่ขนาดรถคอมแพ็คคาร์ ทำให้อัตราการประหยัดพลังงานนั้นดีไปด้วย โดยรถรุ่นนี้สามารถประหยัดน้ำมันได้ถึง 20 กิโลเมตร/ลิตรเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าจะเป็นรถยนต์ที่มีขนาดเล็ก แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะที่ดีเยี่ยม พร้อมออกเดินทางได้อย่างมั่นใจ

                SUZUKI CELERIO ได้ออกแบบภายใต้แนวคิดเน้นความพึงพอใจในการใช้งาน และ ความพึงพอใจในการขับขี่ ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ออกแบบให้มีขนาดห้องโดยสารที่กว้างขวาง และทำออกมาให้มีพื้นที่ว่างบริเวณเหนือศีรษะและพื้นที่วางขา มาพร้อมกับพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ มาในส่วนของขุมพลังนั้นจะใช้เครื่องยนต์ K10B ขนาด 1.0 ลิตรใหม่ มีกำลังน้อยที่สุดเพียง 68 แรงม้าเท่านั้น ซึ่งออกแบบมาอย่างพิเศษ ให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยมีสมรรถนะการขับที่ดีเช่นเดียวกับ SUZUKI SWIFT ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกและภายในห้องโดยสารนั้นที่ถูกดีไซน์ออกมาให้ดูโดดเด่น มาพร้อมกับระบบและอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐาน อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอีกด้วย ตัวรถนั้นมีขนาดความยาว 3,600 มิลลิเมตร มีความกว้างเพียง 1,600 มิลลิเมตร มีราคาเริ่มต้นที่ 328,000 บาท ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีราคาไม่ถึง 400,000 แต่ถือว่าเป็นรถยนต์อีโคคาร์ที่มีราคาถูกที่สุด เราจึงยกรถรุ่นนี้มาแนะนำกับทุกคน

2.NISSAN MARCH MINORCHANGE

                เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ NISSAN MARCH MINORCHANGE 2021 รถยนต์อีโคคาร์ขนาดเล็กสุดฮิต มาพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่โฉบเฉี่ยวมากกว่าเดิม โดยเฉพาะส่วนของกระจังหน้าที่มาในสไตล์ V MOTION คล้ายกับรถยนต์รุ่นพี่ในค่ายอย่าง NISSAN ALMERA โดยมีการเปลี่ยนโคมไฟหน้าใหม่ เพื่อให้ดูมีความโฉบเฉี่ยวมากขึ้น และเปลี่ยนลายล้อแม็กซ์แบบใหม่ แต่ตัวถังยังเป็นแบบเดิมเหมือน NISSAN MARCH GENERATION 4 ที่ขายอยู่ในปัจจุบัน ส่วนโคมไฟด้านท้ายก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ได้มีการเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยภายในโคมไฟ และเปลี่ยนชายกันชนเป็นแบบใหม่ โดยมีการเล่นลวดลายตัดกับสีดำบนหลังคาทำให้ดูสวยงามและสปอร์ตมากยิ่งขึ้น และในส่วนของภายในรถนั้นได้ถูกตกแต่งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย เป็นสไตล์แบบรถนิสสันสมัยใหม่ทรง D SHAPE มีการเปลี่ยนหน้าจอสัมผัส     TOUCH SKIN ตรงกลางขนาดใหญ่แบบใหม่ ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับระบบ APPLE CAR PLAY ANDROID AUTO มีกล้องถอยหลัง มาพร้อมกับระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และได้มีการเน้นโทนสีดำ ทำให้ดูมีความดุดันมากขึ้น ในด้านระบบความปลอดภัยนั้นจะมาพร้อมกับระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน มีจุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX และรถรุ่นนี้ยังให้ถุงลมนิรภัยทั้งหมด 6 ตำแหน่งเลยทีเดียว และมาในส่วนขุมพลังของเครื่องยนต์รถรุ่นนี้ โดยมีเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร ให้กำลังแรงม้าสูงสุดถึง 106 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 142 นิวตัน-เมตร ซึ่งมีทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 SPEED และรุ่นอัตโนมัติ 4 SPEED มาให้เลือก สำหรับ NISSAN MARCH MINORCHANGE รุ่นนี้มีราคารวมภาษีเริ่มต้นที่ 420,000 บาท

3.MITSUBISHI MIRAGE

               เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ MISUBISHI MIRAGE มาพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ ซึ่งได้เน้นให้มีความทันสมัยมากขึ้น การดีไซน์ออกมาอย่างสวยงามลงตัว โดยมีการอัปเกรดออพชั่นใหม่ ทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร ซึ่งได้ออกแบบมาพร้อมกับภายใต้มาตรฐานของรถยนต์อีโคคาร์ยุคใหม่ เพื่อรองรับกับการใช้งานได้อย่างหลากหลายรูปแบบ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของวิถีชีวิตคนเมืองมากยิ่งขึ้น MITSUBISHI MIRAGE ในรุ่นท็อป GLS – LTD ได้มีการดีไซน์รูปลักษณ์ภายนอกใหม่ในหลาย ๆ จุด โดยด้านหน้านั้นจะดูน่าสนใจขึ้น ด้วยการดีไซน์แบบ ADVANCE DYNAMIC SHIELD ตรงบริเวณฝากระโปรงหน้า ส่วนของกระจังหน้านั้นได้ถูกดีไซน์ใหม่ ซึ่งจะตกแต่งด้วยสีดำเงาตัดกัลเส้นสีแดง และมีการปรับกันชนหน้าให้เป็นทรงใหม่และเน้นให้มีความรู้สึกความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น โดยแต่งด้วยแถบโครเมี่ยม พร้อมกับดีไซน์ชุดไฟตัดหมอกใหม่ มาในส่วนของชุดไฟหน้าก็จะเป็นแบบ BI-LED DAYTIME RUNNING LIGHT LED ให้ความสว่างในขณะขับช่วงกลางคืนชัดเจนมากขึ้น และได้เปลี่ยนชุดไฟท้ายใหม่ให้เป็นแบบ LED ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่วนบริเวณชายหลังคาด้านท้ายนั้นจะมาพร้อมกับสปอยเลอร์ดีไซน์สปอร์ต ทำให้ตัวถังขนาดเล็กมีความสมดุลมากขึ้น นอกจากนี้ก็ได้เปลี่ยนล้อ ALLOY ลายใหม่ ขนาด 15 นิ้ว สีทูโทน ในส่วนของเครื่องยนต์นั้นก็ยังคงมาพร้อมกับความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 3 สูบ MIVEC ขนาด 1.2 ลิตร DOHC 12 วาล์ว โดยมีวาล์วแปรผันทางฝั่งไอดี ให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 78 แรงม้า ที่ 6000 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4000 รอบ/นาที ซึ่งสามารถรองรับน้ำมันได้ถึง E20 ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ให้การตอบสนองอย่างต่อเนื่อง มีระบบ IDLE NEUTRAL CONTROL ซึ่งจะตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัตขณะที่รถยนต์หยุดนิ่ง เป็นรถที่ประหยัดเชื้อเพลิง และยังมีระบบ G-SENSOR ที่จะช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์บนทางลาดชันมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยราคาเริ่มต้นของรถรุ่นนี้อยู่ที่ 474,000 บาท

 4.MITSUBISHI ATTRAGE

               รถรุ่นนี้ได้ออกแบบกระจังหน้าทรงสปอร์ต และคาดด้วยเส้นสีแดง 2 เส้น ทำให้มีความลงตัวกับโคมไฟหน้าที่ดีไซน์ใหม่ และไฟหน้าเป็นแบบ PROJECTOR ดีไซน์เลนส์ใหม่เป็นแบบ BI-LED และไฟตัดหมอกที่เป็นทรงกลมซ่อนในกรอบชิ้นสี่เหลี่ยม ทำให้ดูมีความกลมกลืนกับชุดออกแบบด้านหน้า และกันชนหน้าก็ได้ออกแบบมาใหม่เช่นกัน ในส่วนด้านท้ายรถนั้นได้ดีไซน์ใหม่ให้มีความโดดเด่นมากขึ้น และมาพร้อมกับ LED LIGHT GUIDING สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ปลายท่อไอเสียนั้นจะดีไซน์แบบโครเมียม เป็นล้อ ALLOY ขนาด 15 นิ้ว และในส่วนของห้องโดยสารนั้นจะไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนัก แต่มีจุดที่เปลี่ยนไปก็คือปรับให้หน้าจอเครื่องเสียงมีระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้วตัวใหม่ โดยมาตรวัดการขับขี่จะเป็นแบบ SEMI HIGH CONTRAST มีหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน และยังมีระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติด้วย มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลดิจิตอล มีพวงมาลัยแบบ 3 ก้านหุ้มด้วยหนัง โดยพวงมาลัยสามารถปรับได้ 2 ทิศทางด้วย มีสวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงและสวิตซ์รับสาย-โทรออกบนพวงมาลัยอีกด้วย ในเรื่องของขุมพลังนั้นจะใช้เป็นเครื่องยนต์ 3 สูบ 12 วาล์ว มีขนาด 1,193 CC มาพร้อมเทคโนโลยีไมเวค โดยให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังเป็นหน้าที่ของเกียร์อัตโนมัติ CVT INVECS 3 ที่รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดที่ E20 รถรุ่นนี้มีราคาเริ่มต้นที่ 494,000 บาท

5.HONDA BRIO

               HONDA BRIO รถยนต์อีโคคาร์สไตล์ HATCHBACK และทุกรุ่นที่จำหน่ายในไทยปัจจุบันนี้ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว SOHC ลิตร CVT การดีไซน์กระจังหน้าแบบโครเมียม มีไฟเตือนสถานะของเครื่องยนต์ ในส่วนของไฟหน้านั้นจะเป็น MULTI-REFLECTOR กระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า ส่วนภายนอกของตัวรถจะตกแต่งด้วยโครเมียมเช่นกัน และมีไฟเตือนระดับของน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ มาพร้อมกับระบบปัดน้ำฝนด้านหลัง ในส่วนของการออกแบบภายในจะใช้เป็นกระจกกรองแสง

 มีช่องเชื่อมต่อ USB และ/หรือ AUX และรูปแบบการปรับพวงมาลัยจะเป็นแบบ TILT ส่วนระบบเครื่องเสียงนั้นจะเป็นแบบ 2DIN โดยมีสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย มีระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และอื่น ๆ อีก ในส่วนของราคานั้นจะมีราคาเริ่ม

Categories
ข่าวสาร

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อรถ ต้องทำอย่างไรบ้าง

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อรถ ต้องทำอย่างไรบ้าง
สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อรถ

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อรถ ต้องทำอย่างไรบ้าง

               การซื้อรถนั้นต้องคำนึงถึงหลายสิ่งหลายอย่าง เพราะรถนั้นถือว่าเป็นสินทรัพย์เสื่อมราคา หากซื้อมาแล้วนั้นมันยังไม่จบอยู่แค่นั้น เพราะหลังจากซื้อรถเสร็จก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกที่จะตามมา ดังนั้นก่อนที่จะซื้อรถคันหนึ่งเราต้องคำนึงดูให้ดี ๆ ก่อนว่าซื้อมาแล้วจะคุ้มไหม แต่หลายคนคงยังไม่รู้ว่าก่อนซื้อรถนั้นจะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ดังนั้นวันนี้เรามีคำแนะนำให้คุณเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อรถ จะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

 1.ดูงบประมาณและทำความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ย/เงินดาวน์

               เราต้องดูก่อนว่าเรามีงบประมาณเพียงพอที่จะซื้อรถคันนั้นแล้วหรือยัง ซึ่งจะมีวิธีการซื้อแบบเงินสด และเงินผ่อน ซึ่งถ้าเราผ่อนก็คือเราต้องดาวน์ เงินดาวน์นั้นก็คือเงินก้อนแรกที่ผู้ซื้อจะต้องจ่ายก่อนผ่อนนั่นเอง สมมติเราจะซื้อรถ 400,000 บาท ก็สามารถเลือกดาวน์ได้ โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาเต็ม อย่างเช่น 15% ของ 400,000 บาท ถ้าเกิดว่าเราดาวน์เยอะดอกเบี้ยก็จะถูกตามด้วย ดังนั้นเราก็ควรจะคำนวณเงินในส่วนนี้ให้ดีก่อน ว่าเรามีความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือนมากแค่ไหน ต้องศึกษารายละเอียดเพราะเรื่องเงินนั้นสำคัญมาก ๆ

2.เลือกประเภทรถให้เหมาะกับการใช้งาน

               การเลือกประเภทรถนั้นก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน เพราะเราจะต้องซื้อรถที่เหมาะกับการใช้งาน สมมติถ้าต้องการที่จะใช้ในการขนของ รถที่เหมาะก็จะเป็นรถกระบะ แต่ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องขนของ เพียงแค่อยากมีรถไว้เดินทางไปที่ทำงานก็เลือกรถเก๋งธรรมดาก็ได้ และที่สำคัญต้องเลือกประเภทของรถที่ตอบโจทย์กับเราด้วย เพราะฉะนั้นควรพิจารณาให้ดีก่อนเลือกรถ

 3.ขนาดของเครื่องยนต์

               ขนาดของเครื่องยนต์นั้นจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่ารถคันนั้นตอบโจทย์เรามากแค่ไหน โดยเราต้องเลือกรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม ซึ่งถ้าพลังของเครื่องยนต์เยอะ มันก็จะแรงกว่า แต่ก็เปลืองกว่า แต่ถ้าพลังของเครื่องยนต์น้อย ก็จะช่วยให้ประหยัดมากขึ้นนั่นเอง ถ้าเกิดว่าเราขับขี่ในเมืองก็เลือกเครื่องยนต์แบบ 1,200-1,800 CC ก็เพียงพอแล้ว หรือถ้าขับในระยะทางที่ไกลและต้องการที่จะเร่งเครื่องก็จะเหมาะกับ 2,000 CC ขึ้นไป และแน่นอนมันก็จะทำให้เปลืองน้ำมันตามไปด้วย แต่ถ้าเกิดว่าเป็นคนรักษ์โลกก็สามารถเลือกเป็นอีโคคาร์ก็ได้ เพราะรถยนต์ประเภทนี้จะช่วยประหยัดพลังงาน และในส่วนของน้ำมันนั้นก็จะมีแบบเบนซิน และดีเซล เบนซินนั้นจะทำให้ขับสนุก จะมีทั้งเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล์ E20, E85 ซึ่งแก๊สโซฮอล์จะมีข้อดีตรงที่มันมีราคาที่ถูกกว่าเบนซิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็จะทำให้หมดเร็วกว่า ในส่วนของดีเซลนั้นจะใช้กับพวกรถที่มีขนาดใหญ่ เช่น รถกระบะ หรือรถที่ต้องใช้แรงสูงนั่นเอง

 4.เลือกแบรนด์รถให้เหมาะสม

               การเลือกแบรนด์รถนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญและไม่ควรที่จะมองข้าม เพราะความชอบและความเหมาะสมนั้นก็มีผลเช่นกัน โดยเราควรเลือกแบรนด์ที่เหมาะกับตัวเรา จะช่วยให้ตอบโจทย์ในไลฟ์สไตล์และการใช้งานมากขึ้น ซึ่งแบรนด์รถหลัก ๆ ก็จะมีแบรนด์ของญี่ปุ่นและยุโรป แบรนด์ของญี่ปุ่น เช่น HONDA, TOYOTA, MAZDA, SUZUKI เป็นต้น ซึ่งรถแบรนด์ของญี่ปุ่นจะมีราคาถูกกว่าแบรนด์ของยุโรป ด้วยอะไหล่ของรถที่หาง่ายและมีราคาไม่แพงมาก ศูนย์บริการก็จะมีเยอะกว่า ในส่วนของแบรนด์ยุโรป เช่น VOLVO, MERCEDES BENZ, BMW, FORD, AUDI เป็นต้น ซึ่งข้อดีก็คือตัวถังจะมีความแข็งแรงกว่า แต่ข้อเสียก็คือตัวเครื่องจะมีราคาที่แพง ซึ่งจะส่งผลให้ทุกอย่างแพงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่ ประกัน ฯ ค่าซ่อมต่าง ๆ ดังนั้นควรจะต้องคิดดี ๆ ถ้าจะเลือกซื้อรถ

5.ศึกษาการบริการหลังการขาย

               รถนั้นจะอยู่กับเราเป็นเวลานาน เพราะหลังจากที่เราซื้อรถไปแล้วก็จะต้องมีการซ่อมบำรุงรักษา และต้องพิจารณาให้ดีว่ามีศูนย์บริการเยอะไหม ยกตัวอย่างในกรณีที่เราชอบแบรนด์รถแบรนด์หนึ่งมาก ๆ แต่ถ้าลอง RESEARCH ดูแล้วว่ามีศูนย์บริการน้อย มันก็จะเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควร เพราะถ้าเกิดว่ารถของเราจำเป็นที่จะต้องเข้าศูนย์ เราก็ต้องไปในศูนย์บริการที่มันสะดวกต่อการเดินทาง และอยู่ไม่ไกล ถ้าหากว่ารถแบรนด์นั้นมีศูนย์บริการเยอะก็จะทำให้เราสบายใจและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และการบริการนั้นซ่อมดีมากแค่ไหน ใช้ระยะเวลาซ่อมเร็วหรือช้า เราก็ต้องคำนึงถึงสิ่งนี้ด้วย ดังนั้นเราควรศึกษาให้ดีก่อน

 6.OPTION เสริม และส่วนต่าง ๆ

               รถแต่ละคันนั้นจะมีให้เลือก OPTION การทำงานต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคันก็จะแตกต่างกันไป อย่างเช่นการดีไซน์ภายในตัวรถ ในส่วนของเบาะหนังนั้นจะทำความสะอาดง่ายกว่า ดูหรูหรากว่า และทนทานกว่าเบาะผ้า แต่ในขณะเดียวกันเบาะผ้าก็จะมีราคาที่ถูกกว่า แต่ทำความสะอาดยากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ควรจะไปลองขับ ลองนั่งภายในรถดูก่อนว่า OPTION เสริมต่าง ๆ นั้นตอบโจทย์เรามากแค่ไหน เพราะสิ่งที่เราคิดไว้อาจจะไม่เหมือนกับความเป็นจริงก็ได้ ดังนั้นควรไปลองขับก่อนที่จะซื้อ

 7.เตรียมตัวเรื่องงบงอกหลังออกรถ

                การซื้อรถนั้นมันไม่ได้จบแค่ค่ารถ ค่าผ่อนรถ หรือค่าดอกเบี้ยรถ โดยจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกที่จะตามมา อย่างเช่น ค่าเปลี่ยนยาง ค่าน้ำมันรถ ค่าน้ำมันเครื่อง ค่าติดฟิล์ม ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกันรถ และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นควรที่จะเตรียมงบงอกเอาไว้ เพราะมันไม่ได้จบอยู่แค่นั้น และถ้าเรายังไม่พร้อมจริง ๆ ก็ไม่ควรที่จะลงทุน ควรนำเงินนั้นไปลงทุนกับอย่างอื่นก่อน เพื่อให้เรามีเงินสดเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็พิจารณาทั้ง 7 ข้อดูเลยว่าเราจะไหวหรือเปล่า